วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คำถาม 5ข้อ ตอบไม่ได้ ห้ามมีเเฟนเด็ดขาด


ความรักในวัยรุ่นนั้นเราห้ามไม่ได้เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ  ห้ามไม่ได้เเต่ควบคุมได้
        วัยรุ่นในสมัยก่อนนั้นด้วยสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายเรา เมื่อ50ปีที่เเล้วนั้น การศึกษาไม่ค่อยสูงเพราะโรงเรียนมีน้อย  คนบ้านนอกมีบุญอย่างมากก็เเค่จบป.4 ในโรงเรียนสมัยนั้นป.4 สูงสุดแล้ว แต่ถ้าฐานะทางบ้านใครรวยหน่อยก็จะส่งลูกเรียนต่อระดับวิทยาลัย จนได้เป็นครู ทหารตำรวจ ทนายความ หมอ พยาบาล เรียกได้ว่าถ้าใครได้เรียนสูงกว่าป.4 ถือเป็นคนที่ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านมาก ถ้าเรียนจบสูงส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครับ ที่บ้านครูนั้นพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา พร้อมกับจีบสาวจีบบ่าวในหมู่บ้านเดียวกันหรือหมู่บ้านใกล้กันรอไปก่อน พอได้คู่จู๋จี๋แล้วก็บอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอลูกสาวให้เลย ช่วงเริ่มเเต่งงานก็อายุประมาณ15ปีขึ้นไป  ถ้าสมัยนี้ยังเรียนม.3อยู่เลยครับ 
         พ่อเเต่งงานเสร็จปุ๊ปบก็มีลูกปั๊บ  รุ่นตายายก็จะมีลูกเยอะหน่อย ตายายครูมีลูก8คน พอมารุ่นพ่อเเม่ครูมีลูก4คน รู้สึกว่าทุกวันนี้คนเราก็มีลูกน้อยมาเรื่อยๆส่วนใหญ่ก็อาจจะมีลูกไม่เกิน2คนก็พอแล้ว สมัยก่อนไม่มียาคุมกำเนิดเหมือนสมัยนี้ เกิดเเล้วเกิดอีกหัวปีท้ายปี ทุกวันนี้คนอยากจะเกิดก็เกิดไม่ได้เกิดโดนยาคุมกำเนิดดักทางไว้ก่อนถึงเส้นชัย...

         สมัยนี้นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษา วัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีนั้นแทบจะพลิกโลกเลยทีเดียว ทำให้คนสมัยนี้ได้เห็นอะไรๆมากมายที่คนสมับตายายไม่เคยได้เห็น...เเละนั่นรวมถึงความรักด้วย
        ถ้าใครอายุอยู่ในช่วงไม่เกิน45ปี ก็คงจะเคยโดนพ่อเเม่สั่งสอนว่า "ลูกเอ้ย ลูกต้องตั้งใจเรียนให้สูงๆนะเพราะจะได้เป็นหมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ครู หรือเป็นเจ้าคนนายคนนั่งทำงานอยู่ในอ๊อฟฟิตห้องแอร์เย็นๆเงินเดือนสูงๆ พ่อเเม่จะได้สบายนะลูกนะ" คนสมัยนั้นถ้าตั้งใจเรียนให้สูงๆรับรองไม่ตกงานแน่นอนครับ เพราะสมัยนั้นคนที่จะได้เรียนสูงๆมีน้อย  คนที่เรียนไม่สูงพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำงานแล้วก็รีบแต่งงานมีลูกมีหลานกันต่อไป...

         แต่ในยุคนี้นั้นผิดกับในยุคตายายอย่างสิ้นเชิง เมื่อรัฐบาลประกาศว่านักเรียนจะต้องเรียนให้จบม.3ถ้าไม่จบม.3ผู้ปกครองมีความผิด และโรงเรียนก็ประกาศกดดันซ้ำอีกว่า นักเรียน คือบุคคลที่จะต้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าใครยังไม่จบม.3 แต่แอบไปมีอะไรกันเเล้วพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจับเเต่งงานกันนั้น คู่เธอต้องออกจากโรงเรียนนั้นณบัดนี้  ตอนสมัยครูอยู่ม.ต้นมีเพื่อนที่มีเเฟนและเผลอไปมีอะไรกัน หรือความรักมันบังตาอยากจะออกไปแต่งงานก่อนจบม.3 เหลือแค่เทอมเดียวจะจบม.3นั้นมีเยอะเเยะครับ 

        เอาหละครับไม่ว่าเธอกำลังเรียนอยู่ม.ต้น หรือ ม.ปลาย แล้วอยากมีแฟนหรืออาจเผลอใจคิดไปไกลวางแผนอนาคตเรื่องครอบครัวกับแฟนแล้วหละก็ นี่คือคำถาม5ข้อเพื่อตรวจสอบว่าเธอสมควรมีเเฟนในวัยเรียนหรือยัง?

     1.คำว่าเเฟน  หมายถึง อาการชอบ รัก และตกลงใจร่วมกันว่าฉันกับเธอเราจะมีความรู้สึกที่ดีๆ ที่มากกว่าชอบมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่สามีภรรยากัน  ถ้าใครคิดไปมากกว่านี้จนดึงไม่กลับห้ามมีแฟนเด็ดขาดนะจ๊ะ 
    คำถาม  ถ้าเธอจะมีแฟนเธอคิดอยากจะมีเพศสัมพันกันหรือวางแผนจะมีเพศสัมพันกันหรือไม่? ถ้าคิดจงหยุดคิดเดี๋ยวนี้เธออาจยังไม่เข้าใจหรอกว่าถ้ามีเพศสัมพันกันแล้วถึงพ่อเเม่จะจับได้หรือไม่ได้มันเลวร้ายต่ออนาคตขนาดไหน ตัวอย่าง เช่น มีเพื่อนครูเหลือเทอมเดียวจะจบม.3แล้วออกไปแต่งงานกัน จากนั้นก็มีลูก1คน ผ่านไป5ปีเลิกกัน จากนั้นเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็มาขอวุฒิการศึกษา ป.05ใบเเสดงผลการเรียน (ใบเกรด) ของครูเพื่อเอาไปปลอมแปลงให้ตัวเองมีการศึกษา...แต่ครูก็ให้ไปเพราะสงสาร

     2.คำถาม เธอรู้ตัวเองหรือยังว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? ก่อนที่เธอจะมีเเฟนหรือระหว่างที่เธอมีเเฟนนั้น  เธอต้องรู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จบม.3หรือจบม.6แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน  ถ้าเธอยังไม่รู้จงเอาเวลาที่จีบกันไปคิดเรื่องนี้ก่อน เรื่องอนาคตตัวเองสำคัญกว่าเรื่องเเฟนล้านเท่า

    3.คำถาม ถ้าเธอจะมีเเฟนหรือมีเเฟนอยู่แล้วเธอให้ความสำคัญต่อเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องรักหรือไม่? 
คำตอบที่ควรจะเป็น  คือ เรียนมากกว่ารัก  แต่ถ้ารักมากกว่าเรียน  ความสัมพันธ์นั้นควรเพลาๆลงบ้าง
     ลองสังเกตได้จากผลการเรียน  รู้ได้จากกิจกรรมหลังเลิกเรียนงานบ้านงานเรือนไม่ค่อยทำ คุยเฟสเเต่กับแฟน แบบนี้เข้าข่ายรักมากกว่าเรียนแล้วนะครับ

    4.คำถาม เรารู้หรือไม่ว่าคนมีเเฟนเขามีพฤติกรรมอย่างไร? ถ้ายังไม่รู้จงสัมภาษณ์เพื่อนดูว่า  เธอมีเเฟนแล้วมีความสุขไหม เลิกเรียนแล้วคุยกันเรื่องอะไร เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยวไหนกัน ถามให้หมดไส้หมดพุงเลยนะ  บางคนไม่เคยมีเเฟนก็คงจะไม่เข้าใจว่าคนมีเเฟนนั้นอยู่ในอารมณ์แบบไหน  เราถามเพื่อเอามาประเมินว่าถ้าเรามีเเฟนบ้างเราจะอยู่ในโหมดไหน

    5.สำคัญมาก คำถาม เธอมีสเปคแฟนในใจหรือยัง ครูไม่ได้ส่งเสริมให้เธอมีเเฟนในวัยเรียนนะ  แต่ความรักมันเป็นเรื่องธรรมชาติ พอขึ้นป.6 อายุ12ปี ฮอร์โมนหนุ่มสาวเริ่มสูบฉีดแล้ว  เรื่องธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้าให้มา555  มันห้ามกันไม่ได้  แต่ถ้าเราจะมีแฟนทั้งทีขอให้ได้ประโยชน์จากธุรกิจนี้ด้วยหน่อย555 เธอต้องตั้งสเปคของตัวเองไว้ สเปคมี2อย่าง 1. บุคลิกภาพภายนอก หล่อ สวย ขาว ดำ คล้ำ ตี๋ เตี้ย สูง ผอม อวบ อ้วน กล้ามโตๆ หุ่นเพรียว ตัวเล็กตัวใหญ่  ผมสั้นผมยาว ใส่เเว่นตา รวย มีรถขับ พ่อแม่เป็นครู เป็นสส. อะไรๆทำนองนี้  2.บุคลิกภาพภายใน อารมณ์ขัน เป็นคนตลก เอาใจเก่ง เรียนดี มีน้ำใจ ขี้หึงขี้หวงไหม เป็นนักกิจกรรม  เป็นสภานักเรียน ชอบดื่มเหล้าหรือไม่  ชอบเข้าวัด ชอบเดินห้าง ชอบธรรมชาติเหมือนเราไหม ประมาณนี้ เขียนออกมาให้เห็นเลยนะจ๊ะ 

       คำถามนี้เอาไว้ทำไม? เอาไว้ตรวจสอบว่าถ้าเราได้คบกับคนตามสเปค อย่างน้อยเราก็มีความสุขไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่สำคัญ สเปคที่ควรจะมีขาดไม่ได้เลยสำหรับวัยเรียนนั้นคือ  ช่วยสอนการบ้าน มีเเฟนแล้วการเรียนจะต้องดีขึ้น ถ้าคบเเล้วการเรียนมีเเต่จะเเย่ลงเรื่อยๆ ถามการบ้านทีไรก็ไม่เคยสอน อะไรทำนองนี้ ควรหยุดความสัมพันธ์นั้นแล้วมาตั้งสติใหม่  ควรจะคบต่อไปหรือเเก้ปัญหาอย่างไรดี  ทำธุรกิจต้องมีกำไร  ความรักก็เช่นกันมีเเฟนแล้วเกรดมีแต่จะตกลงฮวบๆ  เเบบนี้เรียกว่าขาดทุน  


นี่คือความรู้พื้นฐานจริงๆของการมีเเฟนในวัยเรียน  
จริงๆใช้ได้ทั้งวัยเด็กมหาลัย และวัยทำงานได้ด้วยนะครับ 
ก็ลองเอาไปประยุกต์ดูก็เเล้วกัน สุดท้ายแล้วการมีเเฟนในวัยเรียนนั้นไม่ผิด
ขอให้อยู่ในความเหมาสมและพ่อแม่ต้องคอยดูเเลเอาใจใส่ลูกๆด้วยนะครับ


สวัสดีครับ


ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ

17 กรกฎาคม 2562


ท่านสามารถติดตามได้จาก

         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น