วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

อ่านแล้วสอบติด 1ความลับจากครูนักอ่านตัวจริง


            สอบหลายปีแต่ไม่ติด  ถึงติดก็อยู่อันดับท้ายๆ สุดท้ายก็โดนโละทิ้งต้องไปสอบใหม่ เกิดจากอะไร? 


ทุกวันนี้ครูอ่านหนังสือเยอะมากกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว  เพราะว่ามีเงินซื้อ 
อ่านทุกประเภท แต่ชอบจิตวิทยาพัฒนาตัวเองมากกว่า 
ที่เหลือธุรกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ปรัชญาศาสนา ลึกลับ นิทานคติสอนใจ ความรู้ทั่วไป 

               อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบติด?
              1ความลับนี้ไม่รู้คนอื่นเคยคิดไหม
                  แต่ครูสอบติดเพราะ1ความลับนี้อย่างแน่นอน 

               เนื้อๆประสบการณ์อ่านหนังสือมา 25ปีของครูเองทั้งนั้น ไม่ได้ลอกตามหนังสือใครมา เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะอ่านหนังสือไปทำไม  แน่นอนทุกคนคงตอบว่าอ่านเพื่อสอบไง คนที่ชอบอ่านหนังสือเขาจะเข้าใจว่าบรรยากาศการอ่านหนังสือนั้นมันวิเศษขนาดไหน เพราะเขาไม่ได้อ่านเพื่อจะไปสอบ  แต่เขาอ่านเพื่อความสนุกความบันเทิงซึ่งไม่ต้องจำไปสอบ  แต่คนที่อ่านไปสอบนั้นสำหรับบางคนคือนรกชัดๆ  จะมีความกดดันมหาศาลเพราะเป็นการวัดอะไรหลายๆอย่างเช่น นักเรียนจะเกิดความกดดันจากพ่อแม่มากต้องทำคะแนนให้ได้อันดับต้นๆ  หรือคนที่สอบบรรจุรับราชการคือถ้าพลาดปีนี้ก็ต้องรอปีหน้ากันเลยทีเดียว  และนอกจากนั้นถ้าสอบบรรจุข้าราชการได้นั้นหมายถึงชีวิตการงานครอบครัวจะดีขึ้นอย่างทวีคุณเลยครับ  แต่ครูเองนั้นซึ่งก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอต้องมาอ่านหนังสือสอบนั้นถือเป็นเรื่องสบายๆไปเลย  วิธีต่อไปนี้เกิดจากประสบการณ์ครูเองตลอด25ปีที่อ่านหนังสือนั้นทำให้รู้วิธีการอ่านหนังสือให้จำได้แบบธรรมชาติ ครูไม่เคยซื้อหนังสือที่เขียนหน้าปกว่า อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ หรืออะไรทำนองนี้มาอ่านเลย 

วิธีต่อไปนี้...รู้ไหมครูเคยเอามาใช้ตอนสอบใบขับขี่รถยนต์ และสอบบรรจุครูมาแล้ว  ขอเล่าเรื่องการสอบใบขับขี่ก่อนนะครับ การสอบใบขับขี่นั้นมีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ วันแรกครูก็ไปนั่งดูวีดีทัศน์ความรู้กฎจราจรที่เจ้าหน้าที่เขาเปิดให้ดูนั่นแหละ  ซึ่งดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลยเพราะดูรอบเดียวและง่วงนอนมาก นั่งสัปหงกทั้งวัน แต่ที่สอบได้เพราะครูได้แบบฝึกหัดจากเพื่อนมาอ่าน เป็นข้อสอบที่ปริ้นจากอินเตอร์เน็ตนั่นแหละ5ชุดประมาณ400ข้อ ครูอ่านข้อสอบ1อาทิตย์จบ2รอบ และไม่เคยซื้อหนังสือการสอบใบขับขี่มาอ่านเลยนะ พอถึงเวลาสอบทฤษฏีเจ้าหน้าที่ก็เชิญครูเข้าห้องสอบ พอครูเปิดประตูก็เห็นคนอยู่ข้างใน กำลังทำข้อสอบอยู่หน้าจอคอมเต็มเลย  พอรายงานตัวเสร็จครูก็เดินไปที่หน้าจอคอมและเริ่มทำข้อสอบ  เชื่อไหมครับครูใช้เวลาทำไม่ถึง1นาทีก็ส่งข้อสอบ ถูก27ข้อ จาก30ข้อ ยุคนั้นมีข้อสอบ30ข้อ หลายคนอาจจะทำข้อสอบได้เต็มผมก็ไม่ว่าอะไร  เพียงแต่ครูอยากจะบอกว่าครูอ่านหนังสือเพียง1อาทิตย์และใช้เทคนิคนี้..?....และก็ทำข้อสอบผ่าน27จาก30ข้อ โดยใช้เวลาไม่ถึง1นาที นั่นแปลว่าครูใช้เวลาทำข้อสอบ1ข้อต่อ2วินาที ช่วงที่อยู่ในห้องสอบนั้นมีเหตุการณ์2อย่างที่น่าคิด คือ1 มีผู้หญิงคนหนึ่งวัยรุ่น ทำข้อสอบไม่ผ่านเจ้าหน้าที่บอกให้มาสอบใหม่วันหลัง และ2 เมื่อครูส่งข้อสอบเสร็จระหว่างที่ครูเดินมาหาเจ้าหน้าที่นั้นครูสังเกตเห็นคนๆหนึ่งกำลังทำข้อสอบ   มีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากเลย  ครูเห็นนิ้วเขาอยู่หน้าจอคอมเลื่อนไปมาไม่รู้จะตอบอันไหน ในขณะเดียวกันครูเดินเข้าไปในห้องแปบเดียวแล้วออกมาจากห้องอย่างชื่นบาน คือคนที่ทำข้อสอบได้อย่างครูต้องมีของ ฮาๆๆๆๆ
วิธีดังต่อไปนี้เป็นวิธีของครูเองและไม่ขอรับประกันว่าใครที่ทำตามแล้วจะสอบติดทุกคนนะครับ  เพียงแต่นำมาเล่ามาบอกเผื่อจะมีประโยชน์ต่อสังคม  วิธีเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับคนที่ชอบอ่านหรือไม่ชอบอ่านหนังสือนะครับเอาไปปรับดูเองก็แล้วกันนะครับ


            การอ่านเพื่อสอบนั้นคือการอ่านเพื่อทำข้อสอบให้ถูกให้มากที่สุดหรือให้ผ่านเกณฑ์การสอบนั้นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการทำข้อสอบของนักเรียน นักศึกษา  สถาบันการศึกษา  หรือสอบบรรจุเพื่อรับราชการหรือเอกชน  ข้อสอบเหล่านั้นมีทั้งข้อสอบแบบวิเคราะห์และใช้ความจำล้วนๆ และทั้งประเภทอัตนัย(เขียนตอบ)และแบบปรนัย(มีตัวอย่างให้เลือก) ข้อสอบที่หลายคนกลัวมากคือข้อสอบแบบอัตนัย และข้อสอบที่ต้องใช้การวิเคราะห์ แต่สำหรับครูแล้วครูไม่เคยเครียดกับข้อสอบเลยแถมยังมีความมันส์เสียด้วยซ้ำ  เพราะว่าตอนมัธยมต้นนั้นครูมักจะทำข้อสอบได้ดีกว่าเพื่อนๆและก็ได้รับคำชมจากครูและเพื่อนๆ  จนได้รับการยอมรับในความฉลาดจากเพื่อนในห้อง  ครั้งนั้นทำให้ครูมองโลกในการสอบว่าเป็นเรื่องวัดความฉลาดและท้าทายของชีวิตไม่น้อย เมื่อครูทำข้อสอบได้ดีได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อนๆในห้องทำให้ครูมองการทำข้อสอบนั้นเป็นเรื่องบวกและดีต่อชีวิตมากๆ มันเป็นการเช็คความสามารถของเราเอง ครูคิดแบบนี้มาตลอดจนไม่มีความกลัวในการสอบเลย  ในขณะเดียวกันเพื่อนๆที่ทำข้อสอบได้น้อยกว่าก็จะเกิดอาการน้อยใจ เสียใจ เอาไปเปรียบเทียบกันจนรู้สึกนั่นโน่นนี่และที่สำคัญถึงขนาดคิดว่าตัวเองโง่และจะไม่ตั้งใจเรียนอีกต่อไปได้  อย่าลืมนะครับว่าเราทำข้อสอบมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลมาจนถึงปริญญาตรี ทำปีละกี่ครั้งหละครับ ทำผิดแล้วผิดเล่าแล้วครูก็เอาคะแนนที่เราทำได้ไปตัดเกรด คือคะแนนที่เราทำได้นั้นเป็นบทสรุปชีวิตว่าเราเป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง เห็นไหมครับว่าคนที่ทำข้อสอบได้ดีกับได้น้อยนั้นมีผลต่อพฤติกรรมอย่างรุ่นแรงได้ ข้อนี้นั้นครูกำลังพูดถึงมุมมองในการทำข้อสอบครับ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Mindset  คือวิธีคิดที่ถูกต้อง แล้ววิธีคิดหรือมุมมองที่ถูกต้องต่อการทำข้อสอบมันเป็นยังไงหละครับ  
           ถ้าเรามองว่าการทำข้อสอบเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนที่เราตื่นมาอาบน้ำ  แปรงฟัน  กินข้าว  ไปทำงาน  กลับบ้าน กินข้าวเย็น อาบน้ำ นอน อย่างนี้เราจะไม่เครียดอะไรเลยเพราะข้าวบางมื้อก็ไม่อร่อยบางมื้อก็อร่อยแต่ก็ทดแทนกันได้เพราะถ้าเราไม่จนจริงๆถึงขนาดที่กินข้าวกับเกลือทุกมื้อทุกเดือนนั้นก็พอที่จะหาของกินถูกปากได้ในแต่ละวันแหละครับ เห็นไหมครับว่าถ้าเรามองการทำข้อสอบว่าเหมือนเป็นการกินอาหารได้เราก็จะไม่เครียด  Mindset ที่ถูกต้องต่อการทำข้อสอบนั่นคือ ข้อสอบไม่ได้วัดว่าเราเก่งหรือโง่มีทำถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร คิดนั้นมันคิดง่ายแต่ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน  แล้วเราจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรหละ  ครูมีวิธีครับ

            ครูนั้นมองการสอบในแง่บวกได้โดยธรรมชาติแต่ถ้าใครมองการสอบแบบลบๆต้องเปลี่ยนด่วนครับ 


1ความลับที่ว่าก็คือ
การทำบางอย่างเพื่อหลอกสมองให้เชื่อจนเชื่อได้จริงๆ 
 วิธีก็คือให้เราทำข้อสอบซ้ำๆอันเดิมไม่ต่ำกว่า10 รอบ โดยหาข้อสอบแบบง่ายๆที่มีเฉลยด้วย มีวิธีทำดังนี้



       1 เช่น ให้หาข้อสอบคณิตศาสตร์ของชั้นประถมศึกษาปีที่1 ขอเป็นแบบปรนัยนะครับ โดยให้เราเตรียมกระดาษคำตอบมาเยอะๆ    


            
          2 การทำข้อสอบนั้นให้เราทำรอบที่1ก่อน พอทำเสร็จแล้วให้เราดูเฉลยเลยครับและก็นับคะแนน เขียนคะแนนตัวใหญ่ๆไว้ข้างบนหัวมุมเลยครับ 

            การทำข้อสอบรอบที่1นั้นถ้าเราไม่อัจฉริยะจริงๆคงต้องมีผิดอยู่บ้างแน่ๆ  เมื่อเราเฉลยแล้วให้เราคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำข้อสอบนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน  และเราก็ไม่รู้ว่าเรามีความรู้มากน้อยแค่ไหน  ซึ่งตอนนี้เราได้รู้คำตอบนั้นแล้วนะครับ เห็นไหมครับว่าการทำรอบที่1นั้นเป็นการวัดความรู้ไม่ใช่วัดความเก่งนะครับ  และอีกอย่างก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่หรือฉลาดอีกด้วยครับ การทำข้อสอบรอบที่1ถึงจะมีผิดหรือไม่เลยก็ตามทีเถอะเราจะต้องทำข้อสอบรอบที่2ต่อไป
          ต่อไปให้เราทำข้อสอบรอบที่2 ทำข้อสอบเดิมนี่แหละครับแต่ปิดเฉลยไว้นะครับ พอทำเสร็จก็เฉลยเลยครับ  ความตื่นเต้นนั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้วหละครับ 

            รอบที่2นั้นต้องถูกมากกว่ารอบที่1นะครับเพราะเราได้ดูเฉลยมาแล้ว  แต่ถ้ารอบที่2ถูกน้อยกว่ารอบที่1แสดงว่าเรากาข้อสอบรอบที่1มั่วบังเอิญถูกก็แค่นั้น ตรวจเสร็จก็เขียนคะแนนไว้ข้างบนหัวมุมเหมือนเดิมครับ  เห็นไหมครับว่าเราเริ่มเก่งขึ้นในการทำข้อสอบรอบที่2แล้ว ต่อไปเริ่มทำข้อสอบรอบที่3เลยครับ  รอบที่3จะต้องถูกหมดทุกข้อนะครับเพราะว่าเราได้ดูเฉลย2รอบแล้ว 
    


             แล้วถ้ารอบที่3ทำไม่ถูกทุกข้อละครับจะทำไงต่อ  ก็ให้ทำต่อรอบที่4,5,6,7,8,9 ไปเรื่อยๆจนถูกทุกข้อครับ  ให้เราทำตามลำดับจนถูกทุกข้อไม่ต่ำกว่า3รอบนะครับ  การทำข้อสอบซ้ำ3รอบหรือมากกว่า3รอบทำให้เรารู้ว่าเราค่อยๆเก่งขึ้นเรื่อยๆครับ  แต่บางคนทำถูกทุกข้อตั้งแต่รอบแรกนั้นก็ดีครับ

หลังจากนั้นเมื่อเราทำถูกทุกข้อในรอบที่3แล้วให้เราทำข้อสอบอันเดิมนี่แหละเป็นรอบที่4,5,6... ทำซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่า10รอบ  ถ้าข้อสอบมีหลายข้อก็อาจจะทำซ้ำแค่5รอบก็ได้นะครับ ในการทำซ้ำนี้ทำเพื่อเช็คความเก่งของเราครับ การทำซ้ำหลายๆรอบนั้นจะต้องทำให้ถูกทุกข้อนะครับ
 เห็นไหมครับว่าเราทำข้อสอบถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในที่สุดเราก็ทำข้อสอบถูกทุกข้อหลายๆรอบด้วยซ้ำไปและก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่ด้วย พอเราทำถึงตรงนี้แล้วครูเชื่อว่าทุกท่านนั้นเริ่มจะมี Mindset  ถูกที่ถูกทางแล้วครับ

หลังจากที่เราทำข้อสอบตามข้อที่1แล้วนั้นขั้นตอนต่อไปให้เราเอากระดาษคำถามนั้นมากาให้ถูกทุกข้อ  กาลงในกระดาษคำถามเลยครับ หลังจากนั้นให้อ่านข้อสอบแผ่นนี้  อ่านโจทย์และคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น  อ่านเพื่อให้เราเข้าใจและจำคำตอบได้  อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ  



                                                  อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ


            พออ่านมาถึงตรงนี้แล้วบางคนอาจคิดว่าแค่ทำแบบนี้เองเหรอง่ายดี  อย่าคิดว่าง่ายนะครับเพราะตัวอย่างข้างบนนั้นเป็นข้อสอบระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1ขนาดหลับตากาก็ยังถูกหมดเลย  แต่เมื่อเราจะสอบบรรจุรับราชการนั้นเราต้องเอาตัวอย่างข้อสอบนั้นๆมาทำนะครับ  เชื่อเถอะครับไม่ง่ายอย่างที่คิดไม่อย่างนั้นคุณผู้อ่านคงไม่ต้องมาอ่านบทความนี้หละครับ ป่านนี้คงได้ใส่ชุดกากีกินเงินเดือนรัฐบาลไปนานแล้วครับ ล้อเล่นนะครับคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้หลายคนคงเป็นข้าราชการแล้วแหละ
            สมัยเมื่อครูอยู่ชั้นม.3นั้นครูค่อนข้างจะเรียนดี ครูชอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมากคะแนนวิชานี้ค่อนข้างดี ช่วงนี้ Mindset ของครูดีมาก  แต่พอจบม.3ไปเรียนต่อม.4โรงเรียนใหม่ อาทิตย์แรกครูตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมากแต่ว่าครูเรียนไม่รู้เรื่องเลย การบ้านทำไม่ได้สักข้อต้องลอกเพื่อนส่ง  จากนั้น Mindset ของครูเริ่มเป๋ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนั้นจนจบม.6เลยครับ แน่นอนครับเกรดเฉลี่ยเมื่อจบม.6 ได้แค่ 1.84 เมื่อเกรดไม่ถึง2 ครูเลยพลาดทุนเรียนปริญญาตรีฟรีเลยครับ


             เห็นหรือยังครับว่า Mindset ของการทำข้อสอบนั้นเกิดจากอะไรบ้างและมีผลต่อชีวิตอย่างไรได้บ้าง

            ให้เรานำข้อสอบง่ายๆมาทำหลายๆรอบเเละหลายๆวิชานะครับเพื่อจูนสมองให้ชินกับการทำข้อสอบ
หลังจากนั้นให้เรานำตัวอย่างข้อสอบราชการมาทำเลยครับ  ต่อไปรับรองว่าคุณผู้อ่านจะเริ่มปวดหัวขึ้นเล็กน้อยเพราะว่าข้อสอบรับราชการคงไม่ง่ายเหมือนข้อสอบป.1นะครับ

1ความลับนั้นแน่นอนครับ 
ครูพูดถึงเรื่องการจูนความคิดมีทัศนคติที่ดีในเรื่องการทำข้อสอบ  
ยังไม่ใช่เทคนิคในการอ่านหนังสือให้จำนะครับ
ถึงแม้ว่าเราจะอ่านหนังสือมามากขนาดไหนก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าเราจะสอบผ่านถูกไหมครับเพราะต่อให้เราคิดว่าเราอ่านมามากพอแล้วแต่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้เลยว่าต้องอ่านมากกี่หน้ากี่วันถึงจะเรียกว่า อ่านมากเเล้ว และที่สำคัญต่อให้เราคิดว่าอ่านหนังสือมามากพอแล้วก็ตามทีเถอะ  แต่บรรยากาศในระหว่างสอบนั้นมันชั่งเครียดเหลือเกิน เราควบคุมอาการเครียดได้ยากมากมองไปรอบๆโต๊ะก็มีแต่คู่เเข่ง  ยิ่งคู่แข่งเยอะยิ่งเครียดมากขึ้น พักเที่ยงระหว่างรับประทานอาหารเสร็จทุกคนต่างก็นั่งอ่านหนังสือกันอย่างใจจดใจจ่อ ถ้าเราสามารถควบคุมอาการเครียดได้ในระดับหนึ่งแล้วเราก็ย่อมจะทำข้อสอบได้ดีขึ้นตามลำดับ  การควบคุมอาการความเครียดได้สำหรับครูนั้นเกิดจากการมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสอบครับ  หลายคนคิดว่ามีคู่เเข่งเยอะเเสดงว่าต้องมีคนเก่งเยอะสินะ เราจะเป็นหนึ่งในนั้นไหมหละ? คำถามนี้คนส่วนใหญ่จะตอบตัวเองว่า  เราคงไม่ใช่คนหนึ่งในนั้นหรอก ทำไมถึงตอบอย่างนั้นครับ ก็เพราะว่าสมองของคนเรานั้นมักจะไม่อยากคาดหวังกับสิ่งที่มันยากเกินไปทั้งๆที่ตัวเองก็กำลังทำกำลังอยากได้อยู่ คือถ้าผิดคาดขึ้นมาจะได้ไม่เสียใจมาก  ทั้งๆที่เมื่อพลาดขึ้นมาจริงๆก็เสียใจอยู่ไม่น้อยนั่นเเหละครับ มันเป็นกลไกของสมองที่ต้องการสร้างความปลอดภัยให้ตัวเองขั้นพื้นฐานครับ  สิ่งที่ครูอยากให้จำเอาไว้อย่างมั่นใจเลยว่า "การที่เรามีคู่เเข่งในสนามสอบเยอะไม่ได้เเปลว่าจะมีคนเก่งอยู่เยอะ เราไม่ได้ไปแข่งกับคนอื่นเราเเข่งกับตัวเอง คนที่เก่งจะต้องเป็นเรา" ประโยคนี้ครูพิสูจน์มาเเล้ว เพราะครูสอบได้อันดับที่5ใน7คนจาก80คน เห็นไหมครับคู่เเข่งตั้ง80คนสอบผ่านแค่7คน 7 คนนั้นได้บรรจุหมดแหละครับทั้งๆที่เขาเขียนไว้ว่ารับ1อัตรา ฮาๆๆ

การที่ครูสอบผ่านได้ลำดับที่5จาก7ใน80คนนั้นมี2อย่างมารวมกัน 
คือ 1. ทัศนคติที่ดีในการสอบ Mindset 50% บวกกับ 2.อ่านหนังสือถูกจริต อีก 50%
ครูอ่านหนังสือแค่เดือนเดียวและเร่งทั้งวันทั้งคืนของอาทิตย์สุดท้าย  
อ่านแค่เดือนเดียวเขาเรียกว่าอ่านเยอะหรือน้อยครับ ครูก็ไม่รู้
อ่านหนังสือใน1เดือนนั้นส่วนใหญ่ครูอ่านบทสรุปและทำข้อสอบท้ายบทหลายๆรอบนั้นแหละครับ
แต่ที่บอกว่าอ่านหนังสือถูกจริตนั้นคือ อ่านหนังสือที่ครูชอบเข้าใจง่าย 
หนังสืออ่านสอบราชการนั้นก็มีหลายคนเขียนใช่ไหมครับ 
เราต้องหาหนังสือที่เราอ่านแล้วเข้าใจสำหรับเราครับ

สรุป1ความลับ 
  ให้เราปรับทัศนคติที่ดีในการสอบ Mindset โดยการนำข้อสอบปรนัยง่ายๆมาทำหลายๆรอบ
 เมื่อทำข้อสอบง่ายๆแล้วให้เปลี่ยนเป็นข้อสอบยากๆขึ้นไปจนถึงข้อสอบราชการจริงๆเลย
จบ1ความลับต่อไปเป็นของแถม


      อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ  เลือกหนังสืออย่างไรให้ถูกจริต ?

  การเลือกหนังสืออ่านสอบ 
           1. ถ้าเป็นนักเรียนนั้นอ่านแบบเรียนก็สอบได้หละครับ แต่การสอบรับราชการนั้นมีหลายสำนักพิมพ์หลายคนเขียน  แล้วเราจะเลือกหนังสือเล่มไหนหละ วิธีเลือกไม่ยากครับ ให้เราไปเดินดูหนังสือที่ร้านหนังสือเอาหนังสือหลายสำนักพิมพ์มาอ่านเพื่อเทียบเคียงข้างๆกันว่าเราชอบเล่มไหนมากกว่า  บางสำนักพิมพ์มีแต่เนื้อหายาวเหยียดอ่านแล้วตาลาย  ส่วนตัวครูชอบหนังสือของอาจารย์จีระ  งอกศิลป์ มีเนื้อหาสั้นๆสรุปใจความให้เราแล้ว  และมีข้อสอบให้เราทำท้ายบท และจุดเด่นนั้นอยู่ที่ข้อสอบท้ายบท  มีการตั้งคำถามสลับไปมาระหว่างโจทย์และคำตอบทำให้เราคิดวิเคราะห์และจำได้แม่นครับ  ครูคิดว่าถ้าครูอ่านหนังสือสอบของสำนักพิมพ์อื่นคงจะสอบไม่ติดแน่ๆ การได้อ่านหนังสือที่ถูกกับจริตของตัวเองนั้นทำให้เราจำเนื้อหาเเละเข้าใจได้ถึง 80% เลยทีเดียวนะครับ ฉะนั้นเราต้องขยันเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แถวบ้านมีกี่ร้านเข้าไปให้หมดเลยครับ  เข้าไปนั่งอ่านแบบฟรีๆนั่นแหละ  กว่าที่ครูจะตัดสินใจซื้อหนังสือได้ครูใช้เวลา1อาทิตย์เต็มๆ   และประเภทที่บอกว่ามีคนแนะนำว่าหนังสือเล่มนี้แหละดีอ่านแล้วเข้าใจง่ายสอบได้แน่นอน  อย่าไปเชื่อเด็ดขาดครับ  เหมือนกับเราถามคนอื่นว่าร้านไหนส้มตำอร่อยที่สุด  บางคนก็บอกว่าร้านป้าดา ร้านลุงอู๊ด ร้านน้องหน่อยอร่อยที่สุด   ครูคิดว่าคุณผู้อ่านคงจะยังไม่เชื่อถ้ายังไม่ได้ลองชิมใช่ไหมครับ   เห็นไหมครับเราต้องเลือกและตัดสินใจตามจริตของเราเองเท่านั้นครับ

 


ตัวอย่างหนังสือของ ของอาจารย์จีระ งอกศิลป์ เป็นหนังสือใช้สอบทั่วไป 
ถ้าเป็นหนังสือสอบวิชาเอกของตัวเองก็คงต้องหาเองหละครับ
ที่เอามาให้ดูไม่ได้ค่าโฆษณาสักบาทนะครับ อาจารย์จีระไม่รู้จักครูหรอกครับ
คือหนังสืออ่านสอบครูที่ครูอ่านเมื่อ8ปีที่แล้ว มี2คนเขียน อีกคนครูอ่านเเล้วไม่ถูกจริตครับ

2. สอบถามคนอื่นอาจจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เขาสอบติดแล้ว  ว่าเขาอ่านหนังสือเล่มไหนถึงสอบได้ให้เขาแนะนำเราเพิ่มเติมครับ
3. หนังสือคู่กับปากกาเน้นคำ ซื้อมาเลยครับ อันไหนสำคัญขีดทับไปเลยครับ แล้วกลับมาอ่านที่ขีดไว้ซ้ำไปซ้ำมา  จำได้แน่นอน



อื่นๆ การเข้าร่วมอบรม  สัมมนา  ติว
            ในชีวิตครูเคยเข้าติวครั้งเดียว  ติวแบบบ้านๆไม่เคยไปเข้าคอร์สติวในโรงเเรมเลย  ติวกับผอ.นภัทร 1วัน  ซึ่งท่านติวให้ฟรีแค่เลี้ยงข้าวมื้อเที่ยงแค่นั้นเองในห้องมีครูเข้าร่วมติวด้วยกันไม่ถึง3คน  ติวแบบราคาแพงไม่เคยไป  คำถามคือการเข้าร่วมอบรม  สัมมนา  ติวนั้นได้ผลไหม?  คำตอบคือ  ได้ผลครับแต่ได้ผลมากน้อยแตกต่างกัน  มีคนเล่าให้ครูฟังว่า บางที่ติวเตอร์ยังเถียงกันในห้องให้เห็นเลย  บางที่ติวเตอร์พูดเร็วไปก็มีจะถามย้อนหลังก็ไม่กล้าเพราะคนเยอะมาก   ตอนที่ครูติวกับผอ.นภัทร  นั้นมีบางข้อที่ครูเข้าใจผิดมาตลอดแต่ก็ได้คำตอบที่ถูกต้องตอนติวนั่นแหละครับ  ถ้าเรามีเงินขอเเนะนำเข้าติวเลยครับ
         



สรุป อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ  เลือกหนังสืออย่างไรให้ถูกจริต ?
  1.ไปเลือกหนังสือหลายๆสำนักพิมพ์หลายๆคนเขียนมาอ่านเพื่อหาหนังสือที่ถูกจริตของเรา  ที่สำคัญต้องเป็นหนังสือที่มีบททดสอบท้ายบทเพื่อให้เราฝึกทำข้อสอบหลายๆรอบได้  บางเล่มไม่มีข้อสอบให้ทำเลยมีเเต่เนื้อหาล้วนๆ ถ้าจะทำข้อสอบก็ต้องไปโหลดมา  ทำให้ข้อสอบกับเนื้อหาไม่สอดคล้องกัน
              2. สอบถามคนอื่นอาจจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เขาสอบติดแล้ว  ว่าเขาอ่านหนังสือเล่มไหนถึงสอบได้ให้เขาแนะนำเราเพิ่มเติมครับ
3. หนังสือคู่กับปากกาเน้นคำ ซื้อมาเลยครับ อันไหนสำคัญขีดทับไปเลยครับ  จำได้แน่นอน


ทั้งหมดเหล่านี้ครูได้มาจากประสบการณ์ตรงที่เริ่มอ่านหนังสือสอบครูเมื่อ8ปีที่แล้ว
และประสบการณ์อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ  ตลอด25ปีที่ชอบอ่านหนังสือทำให้รู้เทคนิคการอ่านอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในนี้ ครูจะหาเวลามาเพิ่มเติมให้นะครับ ทุกคนสามารถติดตามเฟสบุคได้ และสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับวิธีอ่านหนังสือได้ตลอดเวลานะครับ

                       เเละเฟสบุคส่วนตัว        panya kaiyachard                                              





สุดท้ายครูขอให้สอบได้เป็นข้าราชการสมดังใจทุกๆคนนะครับ
สวัสดีครับ 


ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ   086-1839964
โรงเรียนองค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว(บ้านท่าฮ่อ) อ.พาน จ.เชียงราย 



วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จินตนาการด้วยยางรัด


ใช้ยางรัดหลากสีมาสร้างภาพตามจินตนาการอย่างสนุกสนาน

วิธีการก็มียางวงเล็กหรือใหญ่หลากสีและไม้แผ่นกระดานจากโต๊ะเก่าๆเอามาตอกตะปู             ห่างกันประมาณ1นิ้ว

ข้อเเนะนำให้ทาสีขาวบนไม้ก่อนตอกตะปูจะได้เห็นเส้นยางเป็นรูปร่างที่ชัดเจนนะจ๊ะ

เด็กๆมีความสนุกสนานที่ได้ใช้สมองในการสร้างสรรค์ภาพจากยางรัดมาก  ใน1คาบเรียนนักเรียนแต่ละกลุ่มสามารถสร้างภาพได้หลายภาพ พอสร้างเสร็จก็เอามาให้ครูถ่ายรูปไว้แล้วรื้อยางออกสร้างใหม่เรื่อยๆ

ผลงานการจินตนาการชั้นประถมศึกษาปีที่6
























ผลงานของนักเรียนชั้น ป.4