สอบหลายปีแต่ไม่ติด ถึงติดก็อยู่อันดับท้ายๆ สุดท้ายก็โดนโละทิ้งต้องไปสอบใหม่ เกิดจากอะไร?
ทุกวันนี้ครูอ่านหนังสือเยอะมากกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว เพราะว่ามีเงินซื้อ
อ่านทุกประเภท แต่ชอบจิตวิทยาพัฒนาตัวเองมากกว่า
ที่เหลือธุรกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ปรัชญาศาสนา ลึกลับ นิทานคติสอนใจ ความรู้ทั่วไป
อ่านหนังสืออย่างไรให้สอบติด?
1ความลับนี้ไม่รู้คนอื่นเคยคิดไหม
แต่ครูสอบติดเพราะ1ความลับนี้อย่างแน่นอน
เนื้อๆประสบการณ์อ่านหนังสือมา 25ปีของครูเองทั้งนั้น ไม่ได้ลอกตามหนังสือใครมา เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะอ่านหนังสือไปทำไม แน่นอนทุกคนคงตอบว่าอ่านเพื่อสอบไง คนที่ชอบอ่านหนังสือเขาจะเข้าใจว่าบรรยากาศการอ่านหนังสือนั้นมันวิเศษขนาดไหน เพราะเขาไม่ได้อ่านเพื่อจะไปสอบ แต่เขาอ่านเพื่อความสนุกความบันเทิงซึ่งไม่ต้องจำไปสอบ แต่คนที่อ่านไปสอบนั้นสำหรับบางคนคือนรกชัดๆ จะมีความกดดันมหาศาลเพราะเป็นการวัดอะไรหลายๆอย่างเช่น นักเรียนจะเกิดความกดดันจากพ่อแม่มากต้องทำคะแนนให้ได้อันดับต้นๆ หรือคนที่สอบบรรจุรับราชการคือถ้าพลาดปีนี้ก็ต้องรอปีหน้ากันเลยทีเดียว และนอกจากนั้นถ้าสอบบรรจุข้าราชการได้นั้นหมายถึงชีวิตการงานครอบครัวจะดีขึ้นอย่างทวีคุณเลยครับ แต่ครูเองนั้นซึ่งก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอต้องมาอ่านหนังสือสอบนั้นถือเป็นเรื่องสบายๆไปเลย วิธีต่อไปนี้เกิดจากประสบการณ์ครูเองตลอด25ปีที่อ่านหนังสือนั้นทำให้รู้วิธีการอ่านหนังสือให้จำได้แบบธรรมชาติ ครูไม่เคยซื้อหนังสือที่เขียนหน้าปกว่า “อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ” หรืออะไรทำนองนี้มาอ่านเลย
วิธีต่อไปนี้...รู้ไหมครูเคยเอามาใช้ตอนสอบใบขับขี่รถยนต์
และสอบบรรจุครูมาแล้ว
ขอเล่าเรื่องการสอบใบขับขี่ก่อนนะครับ
การสอบใบขับขี่นั้นมีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ วันแรกครูก็ไปนั่งดูวีดีทัศน์ความรู้กฎจราจรที่เจ้าหน้าที่เขาเปิดให้ดูนั่นแหละ
ซึ่งดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลยเพราะดูรอบเดียวและง่วงนอนมาก นั่งสัปหงกทั้งวัน
แต่ที่สอบได้เพราะครูได้แบบฝึกหัดจากเพื่อนมาอ่าน
เป็นข้อสอบที่ปริ้นจากอินเตอร์เน็ตนั่นแหละ5ชุดประมาณ400ข้อ ครูอ่านข้อสอบ1อาทิตย์จบ2รอบ
และไม่เคยซื้อหนังสือการสอบใบขับขี่มาอ่านเลยนะ
พอถึงเวลาสอบทฤษฏีเจ้าหน้าที่ก็เชิญครูเข้าห้องสอบ พอครูเปิดประตูก็เห็นคนอยู่ข้างใน
กำลังทำข้อสอบอยู่หน้าจอคอมเต็มเลย
พอรายงานตัวเสร็จครูก็เดินไปที่หน้าจอคอมและเริ่มทำข้อสอบ เชื่อไหมครับครูใช้เวลาทำไม่ถึง1นาทีก็ส่งข้อสอบ ถูก27ข้อ จาก30ข้อ ยุคนั้นมีข้อสอบ30ข้อ
หลายคนอาจจะทำข้อสอบได้เต็มผมก็ไม่ว่าอะไร
เพียงแต่ครูอยากจะบอกว่าครูอ่านหนังสือเพียง1อาทิตย์และใช้เทคนิคนี้..?....และก็ทำข้อสอบผ่าน27จาก30ข้อ โดยใช้เวลาไม่ถึง1นาที
นั่นแปลว่าครูใช้เวลาทำข้อสอบ1ข้อต่อ2วินาที
ช่วงที่อยู่ในห้องสอบนั้นมีเหตุการณ์2อย่างที่น่าคิด คือ1
มีผู้หญิงคนหนึ่งวัยรุ่น ทำข้อสอบไม่ผ่านเจ้าหน้าที่บอกให้มาสอบใหม่วันหลัง
และ2 เมื่อครูส่งข้อสอบเสร็จระหว่างที่ครูเดินมาหาเจ้าหน้าที่นั้นครูสังเกตเห็นคนๆหนึ่งกำลังทำข้อสอบ มีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากเลย ครูเห็นนิ้วเขาอยู่หน้าจอคอมเลื่อนไปมาไม่รู้จะตอบอันไหน
ในขณะเดียวกันครูเดินเข้าไปในห้องแปบเดียวแล้วออกมาจากห้องอย่างชื่นบาน คือคนที่ทำข้อสอบได้อย่างครูต้องมีของ ฮาๆๆๆๆ
วิธีดังต่อไปนี้เป็นวิธีของครูเองและไม่ขอรับประกันว่าใครที่ทำตามแล้วจะสอบติดทุกคนนะครับ เพียงแต่นำมาเล่ามาบอกเผื่อจะมีประโยชน์ต่อสังคม วิธีเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับคนที่ชอบอ่านหรือไม่ชอบอ่านหนังสือนะครับเอาไปปรับดูเองก็แล้วกันนะครับ
การอ่านเพื่อสอบนั้นคือการอ่านเพื่อทำข้อสอบให้ถูกให้มากที่สุดหรือให้ผ่านเกณฑ์การสอบนั้นๆ
ส่วนใหญ่ก็เป็นการทำข้อสอบของนักเรียน นักศึกษา
สถาบันการศึกษา
หรือสอบบรรจุเพื่อรับราชการหรือเอกชน
ข้อสอบเหล่านั้นมีทั้งข้อสอบแบบวิเคราะห์และใช้ความจำล้วนๆ
และทั้งประเภทอัตนัย(เขียนตอบ)และแบบปรนัย(มีตัวอย่างให้เลือก)
ข้อสอบที่หลายคนกลัวมากคือข้อสอบแบบอัตนัย และข้อสอบที่ต้องใช้การวิเคราะห์
แต่สำหรับครูแล้วครูไม่เคยเครียดกับข้อสอบเลยแถมยังมีความมันส์เสียด้วยซ้ำ
เพราะว่าตอนมัธยมต้นนั้นครูมักจะทำข้อสอบได้ดีกว่าเพื่อนๆและก็ได้รับคำชมจากครูและเพื่อนๆ
จนได้รับการยอมรับในความฉลาดจากเพื่อนในห้อง ครั้งนั้นทำให้ครูมองโลกในการสอบว่าเป็นเรื่องวัดความฉลาดและท้าทายของชีวิตไม่น้อย
เมื่อครูทำข้อสอบได้ดีได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อนๆในห้องทำให้ครูมองการทำข้อสอบนั้นเป็นเรื่องบวกและดีต่อชีวิตมากๆ
มันเป็นการเช็คความสามารถของเราเอง
ครูคิดแบบนี้มาตลอดจนไม่มีความกลัวในการสอบเลย
ในขณะเดียวกันเพื่อนๆที่ทำข้อสอบได้น้อยกว่าก็จะเกิดอาการน้อยใจ เสียใจ เอาไปเปรียบเทียบกันจนรู้สึกนั่นโน่นนี่และที่สำคัญถึงขนาดคิดว่าตัวเองโง่และจะไม่ตั้งใจเรียนอีกต่อไปได้ อย่าลืมนะครับว่าเราทำข้อสอบมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลมาจนถึงปริญญาตรี
ทำปีละกี่ครั้งหละครับ ทำผิดแล้วผิดเล่าแล้วครูก็เอาคะแนนที่เราทำได้ไปตัดเกรด
คือคะแนนที่เราทำได้นั้นเป็นบทสรุปชีวิตว่าเราเป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง เห็นไหมครับว่าคนที่ทำข้อสอบได้ดีกับได้น้อยนั้นมีผลต่อพฤติกรรมอย่างรุ่นแรงได้
ข้อนี้นั้นครูกำลังพูดถึงมุมมองในการทำข้อสอบครับ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Mindset
คือวิธีคิดที่ถูกต้อง
แล้ววิธีคิดหรือมุมมองที่ถูกต้องต่อการทำข้อสอบมันเป็นยังไงหละครับ
ถ้าเรามองว่าการทำข้อสอบเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนที่เราตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน กินข้าว ไปทำงาน กลับบ้าน กินข้าวเย็น อาบน้ำ นอน อย่างนี้เราจะไม่เครียดอะไรเลยเพราะข้าวบางมื้อก็ไม่อร่อยบางมื้อก็อร่อยแต่ก็ทดแทนกันได้เพราะถ้าเราไม่จนจริงๆถึงขนาดที่กินข้าวกับเกลือทุกมื้อทุกเดือนนั้นก็พอที่จะหาของกินถูกปากได้ในแต่ละวันแหละครับ เห็นไหมครับว่าถ้าเรามองการทำข้อสอบว่าเหมือนเป็นการกินอาหารได้เราก็จะไม่เครียด Mindset ที่ถูกต้องต่อการทำข้อสอบนั่นคือ “ข้อสอบไม่ได้วัดว่าเราเก่งหรือโง่มีทำถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” คิดนั้นมันคิดง่ายแต่ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน แล้วเราจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรหละ ครูมีวิธีครับ
ถ้าเรามองว่าการทำข้อสอบเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนที่เราตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน กินข้าว ไปทำงาน กลับบ้าน กินข้าวเย็น อาบน้ำ นอน อย่างนี้เราจะไม่เครียดอะไรเลยเพราะข้าวบางมื้อก็ไม่อร่อยบางมื้อก็อร่อยแต่ก็ทดแทนกันได้เพราะถ้าเราไม่จนจริงๆถึงขนาดที่กินข้าวกับเกลือทุกมื้อทุกเดือนนั้นก็พอที่จะหาของกินถูกปากได้ในแต่ละวันแหละครับ เห็นไหมครับว่าถ้าเรามองการทำข้อสอบว่าเหมือนเป็นการกินอาหารได้เราก็จะไม่เครียด Mindset ที่ถูกต้องต่อการทำข้อสอบนั่นคือ “ข้อสอบไม่ได้วัดว่าเราเก่งหรือโง่มีทำถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” คิดนั้นมันคิดง่ายแต่ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน แล้วเราจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรหละ ครูมีวิธีครับ
ครูนั้นมองการสอบในแง่บวกได้โดยธรรมชาติแต่ถ้าใครมองการสอบแบบลบๆต้องเปลี่ยนด่วนครับ

1 เช่น ให้หาข้อสอบคณิตศาสตร์ของชั้นประถมศึกษาปีที่1 ขอเป็นแบบปรนัยนะครับ โดยให้เราเตรียมกระดาษคำตอบมาเยอะๆ
2 การทำข้อสอบนั้นให้เราทำรอบที่1ก่อน พอทำเสร็จแล้วให้เราดูเฉลยเลยครับและก็นับคะแนน เขียนคะแนนตัวใหญ่ๆไว้ข้างบนหัวมุมเลยครับ
การทำข้อสอบรอบที่1นั้นถ้าเราไม่อัจฉริยะจริงๆคงต้องมีผิดอยู่บ้างแน่ๆ เมื่อเราเฉลยแล้วให้เราคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำข้อสอบนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน และเราก็ไม่รู้ว่าเรามีความรู้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้เราได้รู้คำตอบนั้นแล้วนะครับ เห็นไหมครับว่าการทำรอบที่1นั้นเป็นการวัดความรู้ไม่ใช่วัดความเก่งนะครับ และอีกอย่างก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่หรือฉลาดอีกด้วยครับ การทำข้อสอบรอบที่1ถึงจะมีผิดหรือไม่เลยก็ตามทีเถอะเราจะต้องทำข้อสอบรอบที่2ต่อไป
ต่อไปให้เราทำข้อสอบรอบที่2 ทำข้อสอบเดิมนี่แหละครับแต่ปิดเฉลยไว้นะครับ พอทำเสร็จก็เฉลยเลยครับ ความตื่นเต้นนั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้วหละครับ
รอบที่2นั้นต้องถูกมากกว่ารอบที่1นะครับเพราะเราได้ดูเฉลยมาแล้ว แต่ถ้ารอบที่2ถูกน้อยกว่ารอบที่1แสดงว่าเรากาข้อสอบรอบที่1มั่วบังเอิญถูกก็แค่นั้น ตรวจเสร็จก็เขียนคะแนนไว้ข้างบนหัวมุมเหมือนเดิมครับ เห็นไหมครับว่าเราเริ่มเก่งขึ้นในการทำข้อสอบรอบที่2แล้ว ต่อไปเริ่มทำข้อสอบรอบที่3เลยครับ รอบที่3จะต้องถูกหมดทุกข้อนะครับเพราะว่าเราได้ดูเฉลย2รอบแล้ว
แล้วถ้ารอบที่3ทำไม่ถูกทุกข้อละครับจะทำไงต่อ ก็ให้ทำต่อรอบที่4,5,6,7,8,9 ไปเรื่อยๆจนถูกทุกข้อครับ ให้เราทำตามลำดับจนถูกทุกข้อไม่ต่ำกว่า3รอบนะครับ การทำข้อสอบซ้ำ3รอบหรือมากกว่า3รอบทำให้เรารู้ว่าเราค่อยๆเก่งขึ้นเรื่อยๆครับ แต่บางคนทำถูกทุกข้อตั้งแต่รอบแรกนั้นก็ดีครับ
1ความลับที่ว่าก็คือ
“การทำบางอย่างเพื่อหลอกสมองให้เชื่อจนเชื่อได้จริงๆ”
วิธีก็คือให้เราทำข้อสอบซ้ำๆอันเดิมไม่ต่ำกว่า10
รอบ โดยหาข้อสอบแบบง่ายๆที่มีเฉลยด้วย มีวิธีทำดังนี้

1 เช่น ให้หาข้อสอบคณิตศาสตร์ของชั้นประถมศึกษาปีที่1 ขอเป็นแบบปรนัยนะครับ โดยให้เราเตรียมกระดาษคำตอบมาเยอะๆ
2 การทำข้อสอบนั้นให้เราทำรอบที่1ก่อน พอทำเสร็จแล้วให้เราดูเฉลยเลยครับและก็นับคะแนน เขียนคะแนนตัวใหญ่ๆไว้ข้างบนหัวมุมเลยครับ
การทำข้อสอบรอบที่1นั้นถ้าเราไม่อัจฉริยะจริงๆคงต้องมีผิดอยู่บ้างแน่ๆ เมื่อเราเฉลยแล้วให้เราคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำข้อสอบนี้เราก็ไม่รู้ว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน และเราก็ไม่รู้ว่าเรามีความรู้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้เราได้รู้คำตอบนั้นแล้วนะครับ เห็นไหมครับว่าการทำรอบที่1นั้นเป็นการวัดความรู้ไม่ใช่วัดความเก่งนะครับ และอีกอย่างก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่หรือฉลาดอีกด้วยครับ การทำข้อสอบรอบที่1ถึงจะมีผิดหรือไม่เลยก็ตามทีเถอะเราจะต้องทำข้อสอบรอบที่2ต่อไป
ต่อไปให้เราทำข้อสอบรอบที่2 ทำข้อสอบเดิมนี่แหละครับแต่ปิดเฉลยไว้นะครับ พอทำเสร็จก็เฉลยเลยครับ ความตื่นเต้นนั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้วหละครับ
รอบที่2นั้นต้องถูกมากกว่ารอบที่1นะครับเพราะเราได้ดูเฉลยมาแล้ว แต่ถ้ารอบที่2ถูกน้อยกว่ารอบที่1แสดงว่าเรากาข้อสอบรอบที่1มั่วบังเอิญถูกก็แค่นั้น ตรวจเสร็จก็เขียนคะแนนไว้ข้างบนหัวมุมเหมือนเดิมครับ เห็นไหมครับว่าเราเริ่มเก่งขึ้นในการทำข้อสอบรอบที่2แล้ว ต่อไปเริ่มทำข้อสอบรอบที่3เลยครับ รอบที่3จะต้องถูกหมดทุกข้อนะครับเพราะว่าเราได้ดูเฉลย2รอบแล้ว
แล้วถ้ารอบที่3ทำไม่ถูกทุกข้อละครับจะทำไงต่อ ก็ให้ทำต่อรอบที่4,5,6,7,8,9 ไปเรื่อยๆจนถูกทุกข้อครับ ให้เราทำตามลำดับจนถูกทุกข้อไม่ต่ำกว่า3รอบนะครับ การทำข้อสอบซ้ำ3รอบหรือมากกว่า3รอบทำให้เรารู้ว่าเราค่อยๆเก่งขึ้นเรื่อยๆครับ แต่บางคนทำถูกทุกข้อตั้งแต่รอบแรกนั้นก็ดีครับ
หลังจากนั้นเมื่อเราทำถูกทุกข้อในรอบที่3แล้วให้เราทำข้อสอบอันเดิมนี่แหละเป็นรอบที่4,5,6... ทำซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่า10รอบ ถ้าข้อสอบมีหลายข้อก็อาจจะทำซ้ำแค่5รอบก็ได้นะครับ ในการทำซ้ำนี้ทำเพื่อเช็คความเก่งของเราครับ การทำซ้ำหลายๆรอบนั้นจะต้องทำให้ถูกทุกข้อนะครับ
เห็นไหมครับว่าเราทำข้อสอบถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในที่สุดเราก็ทำข้อสอบถูกทุกข้อหลายๆรอบด้วยซ้ำไปและก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่ด้วย พอเราทำถึงตรงนี้แล้วครูเชื่อว่าทุกท่านนั้นเริ่มจะมี Mindset ถูกที่ถูกทางแล้วครับ
หลังจากที่เราทำข้อสอบตามข้อที่1แล้วนั้นขั้นตอนต่อไปให้เราเอากระดาษคำถามนั้นมากาให้ถูกทุกข้อ กาลงในกระดาษคำถามเลยครับ หลังจากนั้นให้อ่านข้อสอบแผ่นนี้ อ่านโจทย์และคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น อ่านเพื่อให้เราเข้าใจและจำคำตอบได้ อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ
อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ
เห็นไหมครับว่าเราทำข้อสอบถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในที่สุดเราก็ทำข้อสอบถูกทุกข้อหลายๆรอบด้วยซ้ำไปและก็ไม่มีใครมาว่าเราโง่ด้วย พอเราทำถึงตรงนี้แล้วครูเชื่อว่าทุกท่านนั้นเริ่มจะมี Mindset ถูกที่ถูกทางแล้วครับ
หลังจากที่เราทำข้อสอบตามข้อที่1แล้วนั้นขั้นตอนต่อไปให้เราเอากระดาษคำถามนั้นมากาให้ถูกทุกข้อ กาลงในกระดาษคำถามเลยครับ หลังจากนั้นให้อ่านข้อสอบแผ่นนี้ อ่านโจทย์และคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น อ่านเพื่อให้เราเข้าใจและจำคำตอบได้ อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ
อ่านแผ่นนี้ไม่ต่ำกว่า10รอบนะครับ

สมัยเมื่อครูอยู่ชั้นม.3นั้นครูค่อนข้างจะเรียนดี
ครูชอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมากคะแนนวิชานี้ค่อนข้างดี ช่วงนี้ Mindset ของครูดีมาก แต่พอจบม.3ไปเรียนต่อม.4โรงเรียนใหม่ อาทิตย์แรกครูตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษมากแต่ว่าครูเรียนไม่รู้เรื่องเลย
การบ้านทำไม่ได้สักข้อต้องลอกเพื่อนส่ง จากนั้น Mindset ของครูเริ่มเป๋ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนั้นจนจบม.6เลยครับ แน่นอนครับเกรดเฉลี่ยเมื่อจบม.6 ได้แค่ 1.84 เมื่อเกรดไม่ถึง2 ครูเลยพลาดทุนเรียนปริญญาตรีฟรีเลยครับ
เห็นหรือยังครับว่า Mindset ของการทำข้อสอบนั้นเกิดจากอะไรบ้างและมีผลต่อชีวิตอย่างไรได้บ้าง
ให้เรานำข้อสอบง่ายๆมาทำหลายๆรอบเเละหลายๆวิชานะครับเพื่อจูนสมองให้ชินกับการทำข้อสอบ
หลังจากนั้นให้เรานำตัวอย่างข้อสอบราชการมาทำเลยครับ ต่อไปรับรองว่าคุณผู้อ่านจะเริ่มปวดหัวขึ้นเล็กน้อยเพราะว่าข้อสอบรับราชการคงไม่ง่ายเหมือนข้อสอบป.1นะครับ
ให้เรานำข้อสอบง่ายๆมาทำหลายๆรอบเเละหลายๆวิชานะครับเพื่อจูนสมองให้ชินกับการทำข้อสอบ
หลังจากนั้นให้เรานำตัวอย่างข้อสอบราชการมาทำเลยครับ ต่อไปรับรองว่าคุณผู้อ่านจะเริ่มปวดหัวขึ้นเล็กน้อยเพราะว่าข้อสอบรับราชการคงไม่ง่ายเหมือนข้อสอบป.1นะครับ
1ความลับนั้นแน่นอนครับ
ครูพูดถึงเรื่องการจูนความคิดมีทัศนคติที่ดีในเรื่องการทำข้อสอบ
ยังไม่ใช่เทคนิคในการอ่านหนังสือให้จำนะครับ
ถึงแม้ว่าเราจะอ่านหนังสือมามากขนาดไหนก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าเราจะสอบผ่านถูกไหมครับเพราะต่อให้เราคิดว่าเราอ่านมามากพอแล้วแต่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้เลยว่าต้องอ่านมากกี่หน้ากี่วันถึงจะเรียกว่า อ่านมากเเล้ว และที่สำคัญต่อให้เราคิดว่าอ่านหนังสือมามากพอแล้วก็ตามทีเถอะ แต่บรรยากาศในระหว่างสอบนั้นมันชั่งเครียดเหลือเกิน เราควบคุมอาการเครียดได้ยากมากมองไปรอบๆโต๊ะก็มีแต่คู่เเข่ง ยิ่งคู่แข่งเยอะยิ่งเครียดมากขึ้น พักเที่ยงระหว่างรับประทานอาหารเสร็จทุกคนต่างก็นั่งอ่านหนังสือกันอย่างใจจดใจจ่อ ถ้าเราสามารถควบคุมอาการเครียดได้ในระดับหนึ่งแล้วเราก็ย่อมจะทำข้อสอบได้ดีขึ้นตามลำดับ การควบคุมอาการความเครียดได้สำหรับครูนั้นเกิดจากการมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสอบครับ หลายคนคิดว่ามีคู่เเข่งเยอะเเสดงว่าต้องมีคนเก่งเยอะสินะ เราจะเป็นหนึ่งในนั้นไหมหละ? คำถามนี้คนส่วนใหญ่จะตอบตัวเองว่า เราคงไม่ใช่คนหนึ่งในนั้นหรอก ทำไมถึงตอบอย่างนั้นครับ ก็เพราะว่าสมองของคนเรานั้นมักจะไม่อยากคาดหวังกับสิ่งที่มันยากเกินไปทั้งๆที่ตัวเองก็กำลังทำกำลังอยากได้อยู่ คือถ้าผิดคาดขึ้นมาจะได้ไม่เสียใจมาก ทั้งๆที่เมื่อพลาดขึ้นมาจริงๆก็เสียใจอยู่ไม่น้อยนั่นเเหละครับ มันเป็นกลไกของสมองที่ต้องการสร้างความปลอดภัยให้ตัวเองขั้นพื้นฐานครับ สิ่งที่ครูอยากให้จำเอาไว้อย่างมั่นใจเลยว่า "การที่เรามีคู่เเข่งในสนามสอบเยอะไม่ได้เเปลว่าจะมีคนเก่งอยู่เยอะ เราไม่ได้ไปแข่งกับคนอื่นเราเเข่งกับตัวเอง คนที่เก่งจะต้องเป็นเรา" ประโยคนี้ครูพิสูจน์มาเเล้ว เพราะครูสอบได้อันดับที่5ใน7คนจาก80คน เห็นไหมครับคู่เเข่งตั้ง80คนสอบผ่านแค่7คน 7 คนนั้นได้บรรจุหมดแหละครับทั้งๆที่เขาเขียนไว้ว่ารับ1อัตรา ฮาๆๆ
การที่ครูสอบผ่านได้ลำดับที่5จาก7ใน80คนนั้นมี2อย่างมารวมกัน
คือ 1. ทัศนคติที่ดีในการสอบ Mindset 50% บวกกับ 2.อ่านหนังสือถูกจริต อีก 50%
ครูอ่านหนังสือแค่เดือนเดียวและเร่งทั้งวันทั้งคืนของอาทิตย์สุดท้าย
อ่านแค่เดือนเดียวเขาเรียกว่าอ่านเยอะหรือน้อยครับ ครูก็ไม่รู้
อ่านหนังสือใน1เดือนนั้นส่วนใหญ่ครูอ่านบทสรุปและทำข้อสอบท้ายบทหลายๆรอบนั้นแหละครับ
แต่ที่บอกว่าอ่านหนังสือถูกจริตนั้นคือ อ่านหนังสือที่ครูชอบเข้าใจง่าย
หนังสืออ่านสอบราชการนั้นก็มีหลายคนเขียนใช่ไหมครับ
เราต้องหาหนังสือที่เราอ่านแล้วเข้าใจสำหรับเราครับ
สรุป1ความลับ
ให้เราปรับทัศนคติที่ดีในการสอบ Mindset โดยการนำข้อสอบปรนัยง่ายๆมาทำหลายๆรอบ
เมื่อทำข้อสอบง่ายๆแล้วให้เปลี่ยนเป็นข้อสอบยากๆขึ้นไปจนถึงข้อสอบราชการจริงๆเลย
จบ1ความลับต่อไปเป็นของแถม
อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ เลือกหนังสืออย่างไรให้ถูกจริต ?
การเลือกหนังสืออ่านสอบ
1. ถ้าเป็นนักเรียนนั้นอ่านแบบเรียนก็สอบได้หละครับ
แต่การสอบรับราชการนั้นมีหลายสำนักพิมพ์หลายคนเขียน แล้วเราจะเลือกหนังสือเล่มไหนหละ วิธีเลือกไม่ยากครับ
ให้เราไปเดินดูหนังสือที่ร้านหนังสือเอาหนังสือหลายสำนักพิมพ์มาอ่านเพื่อเทียบเคียงข้างๆกันว่าเราชอบเล่มไหนมากกว่า
บางสำนักพิมพ์มีแต่เนื้อหายาวเหยียดอ่านแล้วตาลาย ส่วนตัวครูชอบหนังสือของอาจารย์จีระ งอกศิลป์ มีเนื้อหาสั้นๆสรุปใจความให้เราแล้ว และมีข้อสอบให้เราทำท้ายบท และจุดเด่นนั้นอยู่ที่ข้อสอบท้ายบท มีการตั้งคำถามสลับไปมาระหว่างโจทย์และคำตอบทำให้เราคิดวิเคราะห์และจำได้แม่นครับ
ครูคิดว่าถ้าครูอ่านหนังสือสอบของสำนักพิมพ์อื่นคงจะสอบไม่ติดแน่ๆ การได้อ่านหนังสือที่ถูกกับจริตของตัวเองนั้นทำให้เราจำเนื้อหาเเละเข้าใจได้ถึง 80% เลยทีเดียวนะครับ ฉะนั้นเราต้องขยันเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ
แถวบ้านมีกี่ร้านเข้าไปให้หมดเลยครับ เข้าไปนั่งอ่านแบบฟรีๆนั่นแหละ กว่าที่ครูจะตัดสินใจซื้อหนังสือได้ครูใช้เวลา1อาทิตย์เต็มๆ และประเภทที่บอกว่ามีคนแนะนำว่าหนังสือเล่มนี้แหละดีอ่านแล้วเข้าใจง่ายสอบได้แน่นอน อย่าไปเชื่อเด็ดขาดครับ เหมือนกับเราถามคนอื่นว่าร้านไหนส้มตำอร่อยที่สุด บางคนก็บอกว่าร้านป้าดา ร้านลุงอู๊ด
ร้านน้องหน่อยอร่อยที่สุด ครูคิดว่าคุณผู้อ่านคงจะยังไม่เชื่อถ้ายังไม่ได้ลองชิมใช่ไหมครับ เห็นไหมครับเราต้องเลือกและตัดสินใจตามจริตของเราเองเท่านั้นครับ
ตัวอย่างหนังสือของ ของอาจารย์จีระ งอกศิลป์ เป็นหนังสือใช้สอบทั่วไป
ถ้าเป็นหนังสือสอบวิชาเอกของตัวเองก็คงต้องหาเองหละครับ
ที่เอามาให้ดูไม่ได้ค่าโฆษณาสักบาทนะครับ อาจารย์จีระไม่รู้จักครูหรอกครับ
คือหนังสืออ่านสอบครูที่ครูอ่านเมื่อ8ปีที่แล้ว มี2คนเขียน อีกคนครูอ่านเเล้วไม่ถูกจริตครับ
2. สอบถามคนอื่นอาจจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เขาสอบติดแล้ว
ว่าเขาอ่านหนังสือเล่มไหนถึงสอบได้ให้เขาแนะนำเราเพิ่มเติมครับ
3. หนังสือคู่กับปากกาเน้นคำ ซื้อมาเลยครับ อันไหนสำคัญขีดทับไปเลยครับ แล้วกลับมาอ่านที่ขีดไว้ซ้ำไปซ้ำมา จำได้แน่นอน
3. หนังสือคู่กับปากกาเน้นคำ ซื้อมาเลยครับ อันไหนสำคัญขีดทับไปเลยครับ แล้วกลับมาอ่านที่ขีดไว้ซ้ำไปซ้ำมา จำได้แน่นอน
อื่นๆ การเข้าร่วมอบรม
สัมมนา ติว
ในชีวิตครูเคยเข้าติวครั้งเดียว ติวแบบบ้านๆไม่เคยไปเข้าคอร์สติวในโรงเเรมเลย ติวกับผอ.นภัทร 1วัน ซึ่งท่านติวให้ฟรีแค่เลี้ยงข้าวมื้อเที่ยงแค่นั้นเองในห้องมีครูเข้าร่วมติวด้วยกันไม่ถึง3คน ติวแบบราคาแพงไม่เคยไป คำถามคือการเข้าร่วมอบรม สัมมนา
ติวนั้นได้ผลไหม? คำตอบคือ ได้ผลครับแต่ได้ผลมากน้อยแตกต่างกัน มีคนเล่าให้ครูฟังว่า
บางที่ติวเตอร์ยังเถียงกันในห้องให้เห็นเลย
บางที่ติวเตอร์พูดเร็วไปก็มีจะถามย้อนหลังก็ไม่กล้าเพราะคนเยอะมาก ตอนที่ครูติวกับผอ.นภัทร นั้นมีบางข้อที่ครูเข้าใจผิดมาตลอดแต่ก็ได้คำตอบที่ถูกต้องตอนติวนั่นแหละครับ ถ้าเรามีเงินขอเเนะนำเข้าติวเลยครับ
สรุป อ่านหนังสืออย่างไรให้จำ เลือกหนังสืออย่างไรให้ถูกจริต ?
1.ไปเลือกหนังสือหลายๆสำนักพิมพ์หลายๆคนเขียนมาอ่านเพื่อหาหนังสือที่ถูกจริตของเรา ที่สำคัญต้องเป็นหนังสือที่มีบททดสอบท้ายบทเพื่อให้เราฝึกทำข้อสอบหลายๆรอบได้ บางเล่มไม่มีข้อสอบให้ทำเลยมีเเต่เนื้อหาล้วนๆ ถ้าจะทำข้อสอบก็ต้องไปโหลดมา ทำให้ข้อสอบกับเนื้อหาไม่สอดคล้องกัน
2. สอบถามคนอื่นอาจจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เขาสอบติดแล้ว ว่าเขาอ่านหนังสือเล่มไหนถึงสอบได้ให้เขาแนะนำเราเพิ่มเติมครับ
3. หนังสือคู่กับปากกาเน้นคำ ซื้อมาเลยครับ อันไหนสำคัญขีดทับไปเลยครับ จำได้แน่นอน
ทั้งหมดเหล่านี้ครูได้มาจากประสบการณ์ตรงที่เริ่มอ่านหนังสือสอบครูเมื่อ8ปีที่แล้ว
และประสบการณ์อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ ตลอด25ปีที่ชอบอ่านหนังสือทำให้รู้เทคนิคการอ่านอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในนี้ ครูจะหาเวลามาเพิ่มเติมให้นะครับ ทุกคนสามารถติดตามเฟสบุคได้ และสามารถเข้ามาทักทายพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับวิธีอ่านหนังสือได้ตลอดเวลานะครับ
เเละเฟสบุคส่วนตัว panya kaiyachard
สุดท้ายครูขอให้สอบได้เป็นข้าราชการสมดังใจทุกๆคนนะครับ
สวัสดีครับ
ครูปัญญา กายะชาติ ครูศิลปะ 086-1839964
โรงเรียนองค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว(บ้านท่าฮ่อ) อ.พาน จ.เชียงราย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น