วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คำถาม 5ข้อ ตอบไม่ได้ ห้ามมีเเฟนเด็ดขาด


ความรักในวัยรุ่นนั้นเราห้ามไม่ได้เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ  ห้ามไม่ได้เเต่ควบคุมได้
        วัยรุ่นในสมัยก่อนนั้นด้วยสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายเรา เมื่อ50ปีที่เเล้วนั้น การศึกษาไม่ค่อยสูงเพราะโรงเรียนมีน้อย  คนบ้านนอกมีบุญอย่างมากก็เเค่จบป.4 ในโรงเรียนสมัยนั้นป.4 สูงสุดแล้ว แต่ถ้าฐานะทางบ้านใครรวยหน่อยก็จะส่งลูกเรียนต่อระดับวิทยาลัย จนได้เป็นครู ทหารตำรวจ ทนายความ หมอ พยาบาล เรียกได้ว่าถ้าใครได้เรียนสูงกว่าป.4 ถือเป็นคนที่ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านมาก ถ้าเรียนจบสูงส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครับ ที่บ้านครูนั้นพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา พร้อมกับจีบสาวจีบบ่าวในหมู่บ้านเดียวกันหรือหมู่บ้านใกล้กันรอไปก่อน พอได้คู่จู๋จี๋แล้วก็บอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอลูกสาวให้เลย ช่วงเริ่มเเต่งงานก็อายุประมาณ15ปีขึ้นไป  ถ้าสมัยนี้ยังเรียนม.3อยู่เลยครับ 
         พ่อเเต่งงานเสร็จปุ๊ปบก็มีลูกปั๊บ  รุ่นตายายก็จะมีลูกเยอะหน่อย ตายายครูมีลูก8คน พอมารุ่นพ่อเเม่ครูมีลูก4คน รู้สึกว่าทุกวันนี้คนเราก็มีลูกน้อยมาเรื่อยๆส่วนใหญ่ก็อาจจะมีลูกไม่เกิน2คนก็พอแล้ว สมัยก่อนไม่มียาคุมกำเนิดเหมือนสมัยนี้ เกิดเเล้วเกิดอีกหัวปีท้ายปี ทุกวันนี้คนอยากจะเกิดก็เกิดไม่ได้เกิดโดนยาคุมกำเนิดดักทางไว้ก่อนถึงเส้นชัย...

         สมัยนี้นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษา วัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีนั้นแทบจะพลิกโลกเลยทีเดียว ทำให้คนสมัยนี้ได้เห็นอะไรๆมากมายที่คนสมับตายายไม่เคยได้เห็น...เเละนั่นรวมถึงความรักด้วย
        ถ้าใครอายุอยู่ในช่วงไม่เกิน45ปี ก็คงจะเคยโดนพ่อเเม่สั่งสอนว่า "ลูกเอ้ย ลูกต้องตั้งใจเรียนให้สูงๆนะเพราะจะได้เป็นหมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ครู หรือเป็นเจ้าคนนายคนนั่งทำงานอยู่ในอ๊อฟฟิตห้องแอร์เย็นๆเงินเดือนสูงๆ พ่อเเม่จะได้สบายนะลูกนะ" คนสมัยนั้นถ้าตั้งใจเรียนให้สูงๆรับรองไม่ตกงานแน่นอนครับ เพราะสมัยนั้นคนที่จะได้เรียนสูงๆมีน้อย  คนที่เรียนไม่สูงพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำงานแล้วก็รีบแต่งงานมีลูกมีหลานกันต่อไป...

         แต่ในยุคนี้นั้นผิดกับในยุคตายายอย่างสิ้นเชิง เมื่อรัฐบาลประกาศว่านักเรียนจะต้องเรียนให้จบม.3ถ้าไม่จบม.3ผู้ปกครองมีความผิด และโรงเรียนก็ประกาศกดดันซ้ำอีกว่า นักเรียน คือบุคคลที่จะต้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าใครยังไม่จบม.3 แต่แอบไปมีอะไรกันเเล้วพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจับเเต่งงานกันนั้น คู่เธอต้องออกจากโรงเรียนนั้นณบัดนี้  ตอนสมัยครูอยู่ม.ต้นมีเพื่อนที่มีเเฟนและเผลอไปมีอะไรกัน หรือความรักมันบังตาอยากจะออกไปแต่งงานก่อนจบม.3 เหลือแค่เทอมเดียวจะจบม.3นั้นมีเยอะเเยะครับ 

        เอาหละครับไม่ว่าเธอกำลังเรียนอยู่ม.ต้น หรือ ม.ปลาย แล้วอยากมีแฟนหรืออาจเผลอใจคิดไปไกลวางแผนอนาคตเรื่องครอบครัวกับแฟนแล้วหละก็ นี่คือคำถาม5ข้อเพื่อตรวจสอบว่าเธอสมควรมีเเฟนในวัยเรียนหรือยัง?

     1.คำว่าเเฟน  หมายถึง อาการชอบ รัก และตกลงใจร่วมกันว่าฉันกับเธอเราจะมีความรู้สึกที่ดีๆ ที่มากกว่าชอบมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่สามีภรรยากัน  ถ้าใครคิดไปมากกว่านี้จนดึงไม่กลับห้ามมีแฟนเด็ดขาดนะจ๊ะ 
    คำถาม  ถ้าเธอจะมีแฟนเธอคิดอยากจะมีเพศสัมพันกันหรือวางแผนจะมีเพศสัมพันกันหรือไม่? ถ้าคิดจงหยุดคิดเดี๋ยวนี้เธออาจยังไม่เข้าใจหรอกว่าถ้ามีเพศสัมพันกันแล้วถึงพ่อเเม่จะจับได้หรือไม่ได้มันเลวร้ายต่ออนาคตขนาดไหน ตัวอย่าง เช่น มีเพื่อนครูเหลือเทอมเดียวจะจบม.3แล้วออกไปแต่งงานกัน จากนั้นก็มีลูก1คน ผ่านไป5ปีเลิกกัน จากนั้นเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็มาขอวุฒิการศึกษา ป.05ใบเเสดงผลการเรียน (ใบเกรด) ของครูเพื่อเอาไปปลอมแปลงให้ตัวเองมีการศึกษา...แต่ครูก็ให้ไปเพราะสงสาร

     2.คำถาม เธอรู้ตัวเองหรือยังว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? ก่อนที่เธอจะมีเเฟนหรือระหว่างที่เธอมีเเฟนนั้น  เธอต้องรู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จบม.3หรือจบม.6แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน  ถ้าเธอยังไม่รู้จงเอาเวลาที่จีบกันไปคิดเรื่องนี้ก่อน เรื่องอนาคตตัวเองสำคัญกว่าเรื่องเเฟนล้านเท่า

    3.คำถาม ถ้าเธอจะมีเเฟนหรือมีเเฟนอยู่แล้วเธอให้ความสำคัญต่อเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องรักหรือไม่? 
คำตอบที่ควรจะเป็น  คือ เรียนมากกว่ารัก  แต่ถ้ารักมากกว่าเรียน  ความสัมพันธ์นั้นควรเพลาๆลงบ้าง
     ลองสังเกตได้จากผลการเรียน  รู้ได้จากกิจกรรมหลังเลิกเรียนงานบ้านงานเรือนไม่ค่อยทำ คุยเฟสเเต่กับแฟน แบบนี้เข้าข่ายรักมากกว่าเรียนแล้วนะครับ

    4.คำถาม เรารู้หรือไม่ว่าคนมีเเฟนเขามีพฤติกรรมอย่างไร? ถ้ายังไม่รู้จงสัมภาษณ์เพื่อนดูว่า  เธอมีเเฟนแล้วมีความสุขไหม เลิกเรียนแล้วคุยกันเรื่องอะไร เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยวไหนกัน ถามให้หมดไส้หมดพุงเลยนะ  บางคนไม่เคยมีเเฟนก็คงจะไม่เข้าใจว่าคนมีเเฟนนั้นอยู่ในอารมณ์แบบไหน  เราถามเพื่อเอามาประเมินว่าถ้าเรามีเเฟนบ้างเราจะอยู่ในโหมดไหน

    5.สำคัญมาก คำถาม เธอมีสเปคแฟนในใจหรือยัง ครูไม่ได้ส่งเสริมให้เธอมีเเฟนในวัยเรียนนะ  แต่ความรักมันเป็นเรื่องธรรมชาติ พอขึ้นป.6 อายุ12ปี ฮอร์โมนหนุ่มสาวเริ่มสูบฉีดแล้ว  เรื่องธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้าให้มา555  มันห้ามกันไม่ได้  แต่ถ้าเราจะมีแฟนทั้งทีขอให้ได้ประโยชน์จากธุรกิจนี้ด้วยหน่อย555 เธอต้องตั้งสเปคของตัวเองไว้ สเปคมี2อย่าง 1. บุคลิกภาพภายนอก หล่อ สวย ขาว ดำ คล้ำ ตี๋ เตี้ย สูง ผอม อวบ อ้วน กล้ามโตๆ หุ่นเพรียว ตัวเล็กตัวใหญ่  ผมสั้นผมยาว ใส่เเว่นตา รวย มีรถขับ พ่อแม่เป็นครู เป็นสส. อะไรๆทำนองนี้  2.บุคลิกภาพภายใน อารมณ์ขัน เป็นคนตลก เอาใจเก่ง เรียนดี มีน้ำใจ ขี้หึงขี้หวงไหม เป็นนักกิจกรรม  เป็นสภานักเรียน ชอบดื่มเหล้าหรือไม่  ชอบเข้าวัด ชอบเดินห้าง ชอบธรรมชาติเหมือนเราไหม ประมาณนี้ เขียนออกมาให้เห็นเลยนะจ๊ะ 

       คำถามนี้เอาไว้ทำไม? เอาไว้ตรวจสอบว่าถ้าเราได้คบกับคนตามสเปค อย่างน้อยเราก็มีความสุขไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่สำคัญ สเปคที่ควรจะมีขาดไม่ได้เลยสำหรับวัยเรียนนั้นคือ  ช่วยสอนการบ้าน มีเเฟนแล้วการเรียนจะต้องดีขึ้น ถ้าคบเเล้วการเรียนมีเเต่จะเเย่ลงเรื่อยๆ ถามการบ้านทีไรก็ไม่เคยสอน อะไรทำนองนี้ ควรหยุดความสัมพันธ์นั้นแล้วมาตั้งสติใหม่  ควรจะคบต่อไปหรือเเก้ปัญหาอย่างไรดี  ทำธุรกิจต้องมีกำไร  ความรักก็เช่นกันมีเเฟนแล้วเกรดมีแต่จะตกลงฮวบๆ  เเบบนี้เรียกว่าขาดทุน  


นี่คือความรู้พื้นฐานจริงๆของการมีเเฟนในวัยเรียน  
จริงๆใช้ได้ทั้งวัยเด็กมหาลัย และวัยทำงานได้ด้วยนะครับ 
ก็ลองเอาไปประยุกต์ดูก็เเล้วกัน สุดท้ายแล้วการมีเเฟนในวัยเรียนนั้นไม่ผิด
ขอให้อยู่ในความเหมาสมและพ่อแม่ต้องคอยดูเเลเอาใจใส่ลูกๆด้วยนะครับ


สวัสดีครับ


ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ

17 กรกฎาคม 2562


ท่านสามารถติดตามได้จาก

         

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

โชคดีหรือโชคร้าย ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้านคุณโชคดี แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้าย


โชคดีหรือโชคร้าย  ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้าน คุณอาจโชคดี 
แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้ายมากๆ

       พื้นฐานในการอยู่รอดของคนในยุคก่อนนั้นมี ที่อยู่อาศัย อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค นี่เป็นประโยคของคนในยุคตายายเมื่อ50ปีที่เเล้วหรือเปล่าครับ ณ วันนี้ทั้งหมดเหล่านั้นต้องใช้เงินไหมครับ ใช้สิครับ  มีใครนอนบนใบไม้ไหมครับ มีใครเดินไปขอข้าวชาวบ้านกินฟรีๆทุกวันไหมครับ มีใครเป็นมะเร็งแล้วเดินดุ้มๆเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าต้มกินอาทิตย์เดียวหายไหมครับ   หลวงพ่อก็ต้องมีค่ารถค่าน้ำค่าไฟฟ้า คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับเงินนะครับ  ที่เกริ่นมานั้นก็เพื่อบอกพื้นฐานของคนในยุคนี้ว่าเกือบทุกอย่างนั้นล้วนใช้เงิน  ยิ่งเรามีเงินเยอะความได้เปรียบทางเศรษฐกิจของครอบครัวก็จะดีขึ้น เมื่อมีเงินเยอะโอกาศต่างๆก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
       
        การศึกษาก็เช่นกันครับ  เมื่อเราส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ มีคุณภาพเด็กๆก็จะฉลาดมีความรู้และเติบโตเป็นพลเมืองที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป  เเล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงเรียนไหนมีคุณภาพ  โรงเรียนไหนมีครูดีๆบ้าง อันนี้ตอบได้ยากครับ แต่วันนี้ครูก็พอจะพูดให้พอเห็นภาพได้ในมุมหนึ่งครับ 

        คนที่มีเงินเยอะๆหน่อยจะส่งลูกเรียน ไปเรียนในโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ หรือส่งไปเรียนเมืองนอก โรงเรียนเหล่านั้นสอนดีกว่าโรงเรียนวัดจริงหรือไม่อันนี้ครูไม่รู้ครับ  ผู้ปกครองครับครูอยากจะบอกว่า  ไม่ว่าท่านจะส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนนานาชาติ หรือที่ไหนก็ตามเเต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพิจารณาให้ดีก็คือ  โรงเรียนนั้นครูเขาได้สอนให้ลูกๆ  "ติดดิน"  ไหมครับ คำว่าติดดินในที่นี้หมายถึง พื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น กินข้าวเสร็จแล้วล้างจานเอง สอนให้ทำงานหาเงินเอง สอนให้ตอกตะปูซ่อมโต๊ะเก้าอี้เอง  สอนให้ปลูกผักกินเอง  สอนให้ทำอาหารกินเอง สอนให้ซักผ้าเอง สอนให้ลูกล้างห้องน้ำ เป็นต้น 

          ท่านผู้อ่านครับถ้าท่านคิดว่า  ดิฉันมีเงินสะอย่างลูกของฉันมีศักดิ์ศรี  ครอบครัวของฉันเป็นผู้ดี ลูกของฉันมีหน้าที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ได้เกรด4ทุกวิชาแค่นั้พ่อเเม่ก็ภูมิใจเเล้ว  ส่วนงานเหล่านั้นลูกของดิฉันไม่จำเป็นต้องทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภารโรง เเม่บ้านเขาทำเถอะค่ะ ถ้าท่านคิดแบบนี้ก็ขอเเนะนำให้หยุดอ่านตั้งแต่ตรงนี้เลยเพราะเนื้อหาต่อไปคงจะไม่เหมาะกับแนวคิดของท่านครับ  

          ตัวอย่างประโยชน์ของการติดดินคือ

 
     

1.เมื่อเด็กถูกสอนให้รู้จักทำความสะอาด ล้างห้องน้ำที่โรงเรียน  (หมายถึงมีเวรทำความสะอาดบริเวรโรงเรียน) เมื่อกลับบ้านไปเด็กเขาก็จะไปทำความสะอาดห้องน้ำที่บ้านของตัวเอง  ลดภาระให้กับพ่อแม่ได้เยอะเลย เว้นแต่คุณมีแม่บ้าน  อย่าลืมนะครับเมื่อเด็กเขาโตไปเขาก็จะเเยกย้ายไปสร้างครอบครัวของเขาเอง ถ้าครูไม่เคยสอนให้เขาล้างห้องน้ำตั้งเเต่เด็กเขาก็จะติดนิสัยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ ถ้าเขามีความสุขกับการจ้างก็แล้วแต่ครับ 



2.เมื่อเด็กถูกสอนให้ล้างจานข้าวเอง เมื่อเขากินข้าวที่บ้านเขาก็จะล้างจานเองครับ  ถ้าพ่อแม่ชอบล้างจานให้ลูกก็เเล้วเเต่ครับ  อย่าลืมนะครับว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป  ตายก่อนลูกๆแน่ๆ








3.เมื่อเขาถูกสอนให้ปลูกผักที่โรงเรียน  เขาก็อาจจะชอบและกลับไปปลูกผักที่บ้านกินเอง  พ่อแม่ไม่ต้องซื้อผักในตลาดที่อาจปนเปื้อนพิษมากิน แถมยังประหยัดเงินด้วย เงินที่ซื้อผักหรือเงินที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปโดยเฉลี่ยแล้วแพงกว่า การปลูกผักกินเอง  ทุกวันนี้วิธีการปลูกผักในเมือง ในคอนโดมีเยอะเเยะครับ  เช่น เมล็ดผักแตงกวา ซองละ25บาท ใช้พื้นที่ปลูก2เมตร คูณ 2เมตร กินได้เป็นเดือนครับ









4. ถ้าโรงเรียนไหนสอนให้เด็กๆทำงานช่าง เช่น ซ่อมโต๊ะเก้าอี้  สอนตอกตะปู ตัดไม้  เมื่อเขาโตไปเขาก็จะสามารถซ่อมอุปกรณ์ที่บ้านได้  ไม่ต้องไปจ้างช่างให้เสียเงินเปล่าครับ เช่น ถ้าพัดลมที่บ้านไม่หมุน แค่ซื้ออุปกรณ์ ที่เรียกว่า คาปาซิเตอร์ ตัวละ40บาท มาเปลี่ยน ก็หมุนได้เเล้ว ในขณะที่คนไม่รู้จะทิ้งและซื้อพัดลมตัวใหม่มาใช้


5.โรงเรียนไหนที่สอนให้เด็กๆรู้จักการทำอาชีพเพื่อหารายได้ตั้งแต่เด็กๆ  เขาจะรู้จักความลำบากและเข้าใจว่าพ่อแม่นั้นกว่าจะหาเงินมาได้เหนื่อยขนาดไหน  ถ้าเขาได้เรียนการทำอาชีพมาจากโรงเรียนเขาก็จะคิดได้ก่อน  เวลาที่เขาเเบมือขอเงินจากพ่อแม่เขาจะมีรางวัลกลับคืนให้พ่อแม่


      ทำไมโรงเรียนต้องสอนเรื่องพวกนี้  
      เรื่องเหล่านี้นักเรียนจำเป็นต้องได้ทำตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงไม่ต่ำกว่าชั้นมธยมศึกษาปีที่3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆนั้นสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ทักษะต่างๆเพื่อจำและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตตอนโต คือถ้าพลาดในช่วงนี้ต่อไปเขาจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนรู้ การที่ต้องไปฝึกตอนโตนั้นไม่ง่ายเลย และเด็กเขาจะดื้อด้วยซ้ำไป  พอขึ้นมัธยมปลายแล้วงานจะเยอะ ยิ่งเรียนมหาวิทยาลัยเเล้วการที่เราจะไปซื้อข้าวในร้านอาหารแล้วจะไปขอล้างจานให้ร้านอาหารนั้นคงไม่มีกระมั้ง พอเขาเรียนมหาวิทยาลัยจบอาจจะได้เกียรตินิยมก็ตาม จากนั้นเขาก็ออกไปทำงานและมีครอบครัวแต่กลับรับผิดชอบเรื่องงานบ้านไม่เป็น  กวาดบ้านไม่เป็น ซ่อมเเซมโต๊ะตู้เตียงไม่เป็น ปลูกต้นไม้ประดับสวนหน้าบ้านก็ไม่เป็น พ่อแม่จะภูมิใจไหมครับ พ่อเเม่หลายคนนั้นคิดว่ากลัวลูกจะได้รับบาดเจ็บ เสียการเรียนบ้าง เดี๋ยวเขาโตไปเขาก็จะทำเป็นเอง ฝันไปเถอะครับว่าเขาจะเป็น! สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกตั้งแต่ตอนเด็กๆถึงมีมีนิสัยที่ถาวรครับ 

      สมมติถ้าพ่อเเม่เสียชีวิตแต่ว่าวิญญาณยังอยู่ ถ้าท่านเห็นลูกของท่านล้างจานไม่เป็นใช้เเต่แม่บ้าน ซื้อเเต่กับข้าว ปลูกผักไม่เป็น ท่านในขณะที่เป็นวิิญญาณอยู่นั้นซึ่งไม่สามารถไปสอนอะไรเขาได้เเล้วท่านจะรู้สึกอย่างไร 

         
       นี่คือพื้นฐานชีวิตที่เเท้จริงที่โรงเรียนจำเป็นต้องสอน  (พื้นฐานอย่างอื่นยังมีอีกเยอะเเยะครับ  อย่างเช่น เรื่องการเงิน การใช้เงิน การออมเงิน  การลงทุน) ไม่ว่าเด็กๆเขาฝันอยากจะเป็นเป็นนายกรัฐมนตรี  หรือเกษตรกรก็ตามเขาต้องทำสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นจงกลับไปเช็คว่าโรงเรียนของเด็กๆไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวัด โรงเรียนบ้านๆ โรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเมืองนอก นั้นคุณครูเขาได้สอนทักษะเหล่านี้หรือไม่ 

อย่าคิดว่าเกรด4จะช่วยทำให้เขาล้างจานเป็นนะครับ

โรงเรียนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สอนคนให้เก่งให้เป็นคนดี  
ให้มีความรู้  ไม่ใช่สอนให้เป็นคุณหนู 

มือเปื้อนดินนิดหน่อย ตอกตะปูโดนนิ้วบ้าง มีดบาดนิ้วบ้างคงไม่ตายหรอก  
แต่ถ้าไม่เปื้อนไม่เจ็บ จะเเข็งเเกร่งได้อย่างไรกัน

สวัสดีครับ 

ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ
06 กรกฎาคม 2562

ท่านสามารถติดตามผลงานได้ที่