วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

โชคดีหรือโชคร้าย ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้านคุณโชคดี แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้าย


โชคดีหรือโชคร้าย  ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้าน คุณอาจโชคดี 
แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้ายมากๆ

       พื้นฐานในการอยู่รอดของคนในยุคก่อนนั้นมี ที่อยู่อาศัย อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค นี่เป็นประโยคของคนในยุคตายายเมื่อ50ปีที่เเล้วหรือเปล่าครับ ณ วันนี้ทั้งหมดเหล่านั้นต้องใช้เงินไหมครับ ใช้สิครับ  มีใครนอนบนใบไม้ไหมครับ มีใครเดินไปขอข้าวชาวบ้านกินฟรีๆทุกวันไหมครับ มีใครเป็นมะเร็งแล้วเดินดุ้มๆเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าต้มกินอาทิตย์เดียวหายไหมครับ   หลวงพ่อก็ต้องมีค่ารถค่าน้ำค่าไฟฟ้า คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับเงินนะครับ  ที่เกริ่นมานั้นก็เพื่อบอกพื้นฐานของคนในยุคนี้ว่าเกือบทุกอย่างนั้นล้วนใช้เงิน  ยิ่งเรามีเงินเยอะความได้เปรียบทางเศรษฐกิจของครอบครัวก็จะดีขึ้น เมื่อมีเงินเยอะโอกาศต่างๆก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
       
        การศึกษาก็เช่นกันครับ  เมื่อเราส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ มีคุณภาพเด็กๆก็จะฉลาดมีความรู้และเติบโตเป็นพลเมืองที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป  เเล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงเรียนไหนมีคุณภาพ  โรงเรียนไหนมีครูดีๆบ้าง อันนี้ตอบได้ยากครับ แต่วันนี้ครูก็พอจะพูดให้พอเห็นภาพได้ในมุมหนึ่งครับ 

        คนที่มีเงินเยอะๆหน่อยจะส่งลูกเรียน ไปเรียนในโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ หรือส่งไปเรียนเมืองนอก โรงเรียนเหล่านั้นสอนดีกว่าโรงเรียนวัดจริงหรือไม่อันนี้ครูไม่รู้ครับ  ผู้ปกครองครับครูอยากจะบอกว่า  ไม่ว่าท่านจะส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนนานาชาติ หรือที่ไหนก็ตามเเต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพิจารณาให้ดีก็คือ  โรงเรียนนั้นครูเขาได้สอนให้ลูกๆ  "ติดดิน"  ไหมครับ คำว่าติดดินในที่นี้หมายถึง พื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น กินข้าวเสร็จแล้วล้างจานเอง สอนให้ทำงานหาเงินเอง สอนให้ตอกตะปูซ่อมโต๊ะเก้าอี้เอง  สอนให้ปลูกผักกินเอง  สอนให้ทำอาหารกินเอง สอนให้ซักผ้าเอง สอนให้ลูกล้างห้องน้ำ เป็นต้น 

          ท่านผู้อ่านครับถ้าท่านคิดว่า  ดิฉันมีเงินสะอย่างลูกของฉันมีศักดิ์ศรี  ครอบครัวของฉันเป็นผู้ดี ลูกของฉันมีหน้าที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ได้เกรด4ทุกวิชาแค่นั้พ่อเเม่ก็ภูมิใจเเล้ว  ส่วนงานเหล่านั้นลูกของดิฉันไม่จำเป็นต้องทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภารโรง เเม่บ้านเขาทำเถอะค่ะ ถ้าท่านคิดแบบนี้ก็ขอเเนะนำให้หยุดอ่านตั้งแต่ตรงนี้เลยเพราะเนื้อหาต่อไปคงจะไม่เหมาะกับแนวคิดของท่านครับ  

          ตัวอย่างประโยชน์ของการติดดินคือ

 
     

1.เมื่อเด็กถูกสอนให้รู้จักทำความสะอาด ล้างห้องน้ำที่โรงเรียน  (หมายถึงมีเวรทำความสะอาดบริเวรโรงเรียน) เมื่อกลับบ้านไปเด็กเขาก็จะไปทำความสะอาดห้องน้ำที่บ้านของตัวเอง  ลดภาระให้กับพ่อแม่ได้เยอะเลย เว้นแต่คุณมีแม่บ้าน  อย่าลืมนะครับเมื่อเด็กเขาโตไปเขาก็จะเเยกย้ายไปสร้างครอบครัวของเขาเอง ถ้าครูไม่เคยสอนให้เขาล้างห้องน้ำตั้งเเต่เด็กเขาก็จะติดนิสัยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ ถ้าเขามีความสุขกับการจ้างก็แล้วแต่ครับ 



2.เมื่อเด็กถูกสอนให้ล้างจานข้าวเอง เมื่อเขากินข้าวที่บ้านเขาก็จะล้างจานเองครับ  ถ้าพ่อแม่ชอบล้างจานให้ลูกก็เเล้วเเต่ครับ  อย่าลืมนะครับว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป  ตายก่อนลูกๆแน่ๆ








3.เมื่อเขาถูกสอนให้ปลูกผักที่โรงเรียน  เขาก็อาจจะชอบและกลับไปปลูกผักที่บ้านกินเอง  พ่อแม่ไม่ต้องซื้อผักในตลาดที่อาจปนเปื้อนพิษมากิน แถมยังประหยัดเงินด้วย เงินที่ซื้อผักหรือเงินที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปโดยเฉลี่ยแล้วแพงกว่า การปลูกผักกินเอง  ทุกวันนี้วิธีการปลูกผักในเมือง ในคอนโดมีเยอะเเยะครับ  เช่น เมล็ดผักแตงกวา ซองละ25บาท ใช้พื้นที่ปลูก2เมตร คูณ 2เมตร กินได้เป็นเดือนครับ









4. ถ้าโรงเรียนไหนสอนให้เด็กๆทำงานช่าง เช่น ซ่อมโต๊ะเก้าอี้  สอนตอกตะปู ตัดไม้  เมื่อเขาโตไปเขาก็จะสามารถซ่อมอุปกรณ์ที่บ้านได้  ไม่ต้องไปจ้างช่างให้เสียเงินเปล่าครับ เช่น ถ้าพัดลมที่บ้านไม่หมุน แค่ซื้ออุปกรณ์ ที่เรียกว่า คาปาซิเตอร์ ตัวละ40บาท มาเปลี่ยน ก็หมุนได้เเล้ว ในขณะที่คนไม่รู้จะทิ้งและซื้อพัดลมตัวใหม่มาใช้


5.โรงเรียนไหนที่สอนให้เด็กๆรู้จักการทำอาชีพเพื่อหารายได้ตั้งแต่เด็กๆ  เขาจะรู้จักความลำบากและเข้าใจว่าพ่อแม่นั้นกว่าจะหาเงินมาได้เหนื่อยขนาดไหน  ถ้าเขาได้เรียนการทำอาชีพมาจากโรงเรียนเขาก็จะคิดได้ก่อน  เวลาที่เขาเเบมือขอเงินจากพ่อแม่เขาจะมีรางวัลกลับคืนให้พ่อแม่


      ทำไมโรงเรียนต้องสอนเรื่องพวกนี้  
      เรื่องเหล่านี้นักเรียนจำเป็นต้องได้ทำตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงไม่ต่ำกว่าชั้นมธยมศึกษาปีที่3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆนั้นสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ทักษะต่างๆเพื่อจำและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตตอนโต คือถ้าพลาดในช่วงนี้ต่อไปเขาจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนรู้ การที่ต้องไปฝึกตอนโตนั้นไม่ง่ายเลย และเด็กเขาจะดื้อด้วยซ้ำไป  พอขึ้นมัธยมปลายแล้วงานจะเยอะ ยิ่งเรียนมหาวิทยาลัยเเล้วการที่เราจะไปซื้อข้าวในร้านอาหารแล้วจะไปขอล้างจานให้ร้านอาหารนั้นคงไม่มีกระมั้ง พอเขาเรียนมหาวิทยาลัยจบอาจจะได้เกียรตินิยมก็ตาม จากนั้นเขาก็ออกไปทำงานและมีครอบครัวแต่กลับรับผิดชอบเรื่องงานบ้านไม่เป็น  กวาดบ้านไม่เป็น ซ่อมเเซมโต๊ะตู้เตียงไม่เป็น ปลูกต้นไม้ประดับสวนหน้าบ้านก็ไม่เป็น พ่อแม่จะภูมิใจไหมครับ พ่อเเม่หลายคนนั้นคิดว่ากลัวลูกจะได้รับบาดเจ็บ เสียการเรียนบ้าง เดี๋ยวเขาโตไปเขาก็จะทำเป็นเอง ฝันไปเถอะครับว่าเขาจะเป็น! สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกตั้งแต่ตอนเด็กๆถึงมีมีนิสัยที่ถาวรครับ 

      สมมติถ้าพ่อเเม่เสียชีวิตแต่ว่าวิญญาณยังอยู่ ถ้าท่านเห็นลูกของท่านล้างจานไม่เป็นใช้เเต่แม่บ้าน ซื้อเเต่กับข้าว ปลูกผักไม่เป็น ท่านในขณะที่เป็นวิิญญาณอยู่นั้นซึ่งไม่สามารถไปสอนอะไรเขาได้เเล้วท่านจะรู้สึกอย่างไร 

         
       นี่คือพื้นฐานชีวิตที่เเท้จริงที่โรงเรียนจำเป็นต้องสอน  (พื้นฐานอย่างอื่นยังมีอีกเยอะเเยะครับ  อย่างเช่น เรื่องการเงิน การใช้เงิน การออมเงิน  การลงทุน) ไม่ว่าเด็กๆเขาฝันอยากจะเป็นเป็นนายกรัฐมนตรี  หรือเกษตรกรก็ตามเขาต้องทำสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นจงกลับไปเช็คว่าโรงเรียนของเด็กๆไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวัด โรงเรียนบ้านๆ โรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเมืองนอก นั้นคุณครูเขาได้สอนทักษะเหล่านี้หรือไม่ 

อย่าคิดว่าเกรด4จะช่วยทำให้เขาล้างจานเป็นนะครับ

โรงเรียนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สอนคนให้เก่งให้เป็นคนดี  
ให้มีความรู้  ไม่ใช่สอนให้เป็นคุณหนู 

มือเปื้อนดินนิดหน่อย ตอกตะปูโดนนิ้วบ้าง มีดบาดนิ้วบ้างคงไม่ตายหรอก  
แต่ถ้าไม่เปื้อนไม่เจ็บ จะเเข็งเเกร่งได้อย่างไรกัน

สวัสดีครับ 

ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ
06 กรกฎาคม 2562

ท่านสามารถติดตามผลงานได้ที่



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น