วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คำถาม 5ข้อ ตอบไม่ได้ ห้ามมีเเฟนเด็ดขาด


ความรักในวัยรุ่นนั้นเราห้ามไม่ได้เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ  ห้ามไม่ได้เเต่ควบคุมได้
        วัยรุ่นในสมัยก่อนนั้นด้วยสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายเรา เมื่อ50ปีที่เเล้วนั้น การศึกษาไม่ค่อยสูงเพราะโรงเรียนมีน้อย  คนบ้านนอกมีบุญอย่างมากก็เเค่จบป.4 ในโรงเรียนสมัยนั้นป.4 สูงสุดแล้ว แต่ถ้าฐานะทางบ้านใครรวยหน่อยก็จะส่งลูกเรียนต่อระดับวิทยาลัย จนได้เป็นครู ทหารตำรวจ ทนายความ หมอ พยาบาล เรียกได้ว่าถ้าใครได้เรียนสูงกว่าป.4 ถือเป็นคนที่ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านมาก ถ้าเรียนจบสูงส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครับ ที่บ้านครูนั้นพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา พร้อมกับจีบสาวจีบบ่าวในหมู่บ้านเดียวกันหรือหมู่บ้านใกล้กันรอไปก่อน พอได้คู่จู๋จี๋แล้วก็บอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอลูกสาวให้เลย ช่วงเริ่มเเต่งงานก็อายุประมาณ15ปีขึ้นไป  ถ้าสมัยนี้ยังเรียนม.3อยู่เลยครับ 
         พ่อเเต่งงานเสร็จปุ๊ปบก็มีลูกปั๊บ  รุ่นตายายก็จะมีลูกเยอะหน่อย ตายายครูมีลูก8คน พอมารุ่นพ่อเเม่ครูมีลูก4คน รู้สึกว่าทุกวันนี้คนเราก็มีลูกน้อยมาเรื่อยๆส่วนใหญ่ก็อาจจะมีลูกไม่เกิน2คนก็พอแล้ว สมัยก่อนไม่มียาคุมกำเนิดเหมือนสมัยนี้ เกิดเเล้วเกิดอีกหัวปีท้ายปี ทุกวันนี้คนอยากจะเกิดก็เกิดไม่ได้เกิดโดนยาคุมกำเนิดดักทางไว้ก่อนถึงเส้นชัย...

         สมัยนี้นั้นความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษา วัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยีนั้นแทบจะพลิกโลกเลยทีเดียว ทำให้คนสมัยนี้ได้เห็นอะไรๆมากมายที่คนสมับตายายไม่เคยได้เห็น...เเละนั่นรวมถึงความรักด้วย
        ถ้าใครอายุอยู่ในช่วงไม่เกิน45ปี ก็คงจะเคยโดนพ่อเเม่สั่งสอนว่า "ลูกเอ้ย ลูกต้องตั้งใจเรียนให้สูงๆนะเพราะจะได้เป็นหมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร ครู หรือเป็นเจ้าคนนายคนนั่งทำงานอยู่ในอ๊อฟฟิตห้องแอร์เย็นๆเงินเดือนสูงๆ พ่อเเม่จะได้สบายนะลูกนะ" คนสมัยนั้นถ้าตั้งใจเรียนให้สูงๆรับรองไม่ตกงานแน่นอนครับ เพราะสมัยนั้นคนที่จะได้เรียนสูงๆมีน้อย  คนที่เรียนไม่สูงพอจบป.4ก็ช่วยพ่อแม่ทำงานแล้วก็รีบแต่งงานมีลูกมีหลานกันต่อไป...

         แต่ในยุคนี้นั้นผิดกับในยุคตายายอย่างสิ้นเชิง เมื่อรัฐบาลประกาศว่านักเรียนจะต้องเรียนให้จบม.3ถ้าไม่จบม.3ผู้ปกครองมีความผิด และโรงเรียนก็ประกาศกดดันซ้ำอีกว่า นักเรียน คือบุคคลที่จะต้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าใครยังไม่จบม.3 แต่แอบไปมีอะไรกันเเล้วพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจับเเต่งงานกันนั้น คู่เธอต้องออกจากโรงเรียนนั้นณบัดนี้  ตอนสมัยครูอยู่ม.ต้นมีเพื่อนที่มีเเฟนและเผลอไปมีอะไรกัน หรือความรักมันบังตาอยากจะออกไปแต่งงานก่อนจบม.3 เหลือแค่เทอมเดียวจะจบม.3นั้นมีเยอะเเยะครับ 

        เอาหละครับไม่ว่าเธอกำลังเรียนอยู่ม.ต้น หรือ ม.ปลาย แล้วอยากมีแฟนหรืออาจเผลอใจคิดไปไกลวางแผนอนาคตเรื่องครอบครัวกับแฟนแล้วหละก็ นี่คือคำถาม5ข้อเพื่อตรวจสอบว่าเธอสมควรมีเเฟนในวัยเรียนหรือยัง?

     1.คำว่าเเฟน  หมายถึง อาการชอบ รัก และตกลงใจร่วมกันว่าฉันกับเธอเราจะมีความรู้สึกที่ดีๆ ที่มากกว่าชอบมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่สามีภรรยากัน  ถ้าใครคิดไปมากกว่านี้จนดึงไม่กลับห้ามมีแฟนเด็ดขาดนะจ๊ะ 
    คำถาม  ถ้าเธอจะมีแฟนเธอคิดอยากจะมีเพศสัมพันกันหรือวางแผนจะมีเพศสัมพันกันหรือไม่? ถ้าคิดจงหยุดคิดเดี๋ยวนี้เธออาจยังไม่เข้าใจหรอกว่าถ้ามีเพศสัมพันกันแล้วถึงพ่อเเม่จะจับได้หรือไม่ได้มันเลวร้ายต่ออนาคตขนาดไหน ตัวอย่าง เช่น มีเพื่อนครูเหลือเทอมเดียวจะจบม.3แล้วออกไปแต่งงานกัน จากนั้นก็มีลูก1คน ผ่านไป5ปีเลิกกัน จากนั้นเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็มาขอวุฒิการศึกษา ป.05ใบเเสดงผลการเรียน (ใบเกรด) ของครูเพื่อเอาไปปลอมแปลงให้ตัวเองมีการศึกษา...แต่ครูก็ให้ไปเพราะสงสาร

     2.คำถาม เธอรู้ตัวเองหรือยังว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? ก่อนที่เธอจะมีเเฟนหรือระหว่างที่เธอมีเเฟนนั้น  เธอต้องรู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จบม.3หรือจบม.6แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหน  ถ้าเธอยังไม่รู้จงเอาเวลาที่จีบกันไปคิดเรื่องนี้ก่อน เรื่องอนาคตตัวเองสำคัญกว่าเรื่องเเฟนล้านเท่า

    3.คำถาม ถ้าเธอจะมีเเฟนหรือมีเเฟนอยู่แล้วเธอให้ความสำคัญต่อเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องรักหรือไม่? 
คำตอบที่ควรจะเป็น  คือ เรียนมากกว่ารัก  แต่ถ้ารักมากกว่าเรียน  ความสัมพันธ์นั้นควรเพลาๆลงบ้าง
     ลองสังเกตได้จากผลการเรียน  รู้ได้จากกิจกรรมหลังเลิกเรียนงานบ้านงานเรือนไม่ค่อยทำ คุยเฟสเเต่กับแฟน แบบนี้เข้าข่ายรักมากกว่าเรียนแล้วนะครับ

    4.คำถาม เรารู้หรือไม่ว่าคนมีเเฟนเขามีพฤติกรรมอย่างไร? ถ้ายังไม่รู้จงสัมภาษณ์เพื่อนดูว่า  เธอมีเเฟนแล้วมีความสุขไหม เลิกเรียนแล้วคุยกันเรื่องอะไร เสาร์อาทิตย์ไปเที่ยวไหนกัน ถามให้หมดไส้หมดพุงเลยนะ  บางคนไม่เคยมีเเฟนก็คงจะไม่เข้าใจว่าคนมีเเฟนนั้นอยู่ในอารมณ์แบบไหน  เราถามเพื่อเอามาประเมินว่าถ้าเรามีเเฟนบ้างเราจะอยู่ในโหมดไหน

    5.สำคัญมาก คำถาม เธอมีสเปคแฟนในใจหรือยัง ครูไม่ได้ส่งเสริมให้เธอมีเเฟนในวัยเรียนนะ  แต่ความรักมันเป็นเรื่องธรรมชาติ พอขึ้นป.6 อายุ12ปี ฮอร์โมนหนุ่มสาวเริ่มสูบฉีดแล้ว  เรื่องธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้าให้มา555  มันห้ามกันไม่ได้  แต่ถ้าเราจะมีแฟนทั้งทีขอให้ได้ประโยชน์จากธุรกิจนี้ด้วยหน่อย555 เธอต้องตั้งสเปคของตัวเองไว้ สเปคมี2อย่าง 1. บุคลิกภาพภายนอก หล่อ สวย ขาว ดำ คล้ำ ตี๋ เตี้ย สูง ผอม อวบ อ้วน กล้ามโตๆ หุ่นเพรียว ตัวเล็กตัวใหญ่  ผมสั้นผมยาว ใส่เเว่นตา รวย มีรถขับ พ่อแม่เป็นครู เป็นสส. อะไรๆทำนองนี้  2.บุคลิกภาพภายใน อารมณ์ขัน เป็นคนตลก เอาใจเก่ง เรียนดี มีน้ำใจ ขี้หึงขี้หวงไหม เป็นนักกิจกรรม  เป็นสภานักเรียน ชอบดื่มเหล้าหรือไม่  ชอบเข้าวัด ชอบเดินห้าง ชอบธรรมชาติเหมือนเราไหม ประมาณนี้ เขียนออกมาให้เห็นเลยนะจ๊ะ 

       คำถามนี้เอาไว้ทำไม? เอาไว้ตรวจสอบว่าถ้าเราได้คบกับคนตามสเปค อย่างน้อยเราก็มีความสุขไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่สำคัญ สเปคที่ควรจะมีขาดไม่ได้เลยสำหรับวัยเรียนนั้นคือ  ช่วยสอนการบ้าน มีเเฟนแล้วการเรียนจะต้องดีขึ้น ถ้าคบเเล้วการเรียนมีเเต่จะเเย่ลงเรื่อยๆ ถามการบ้านทีไรก็ไม่เคยสอน อะไรทำนองนี้ ควรหยุดความสัมพันธ์นั้นแล้วมาตั้งสติใหม่  ควรจะคบต่อไปหรือเเก้ปัญหาอย่างไรดี  ทำธุรกิจต้องมีกำไร  ความรักก็เช่นกันมีเเฟนแล้วเกรดมีแต่จะตกลงฮวบๆ  เเบบนี้เรียกว่าขาดทุน  


นี่คือความรู้พื้นฐานจริงๆของการมีเเฟนในวัยเรียน  
จริงๆใช้ได้ทั้งวัยเด็กมหาลัย และวัยทำงานได้ด้วยนะครับ 
ก็ลองเอาไปประยุกต์ดูก็เเล้วกัน สุดท้ายแล้วการมีเเฟนในวัยเรียนนั้นไม่ผิด
ขอให้อยู่ในความเหมาสมและพ่อแม่ต้องคอยดูเเลเอาใจใส่ลูกๆด้วยนะครับ


สวัสดีครับ


ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ

17 กรกฎาคม 2562


ท่านสามารถติดตามได้จาก

         

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

โชคดีหรือโชคร้าย ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้านคุณโชคดี แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้าย


โชคดีหรือโชคร้าย  ถ้าคุณมีเงินส่งลูกเรียนเทอมละล้าน คุณอาจโชคดี 
แต่ถ้าครูไม่เคยสอนลูกคุณให้ "ติดดิน" คุณอาจโชคร้ายมากๆ

       พื้นฐานในการอยู่รอดของคนในยุคก่อนนั้นมี ที่อยู่อาศัย อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค นี่เป็นประโยคของคนในยุคตายายเมื่อ50ปีที่เเล้วหรือเปล่าครับ ณ วันนี้ทั้งหมดเหล่านั้นต้องใช้เงินไหมครับ ใช้สิครับ  มีใครนอนบนใบไม้ไหมครับ มีใครเดินไปขอข้าวชาวบ้านกินฟรีๆทุกวันไหมครับ มีใครเป็นมะเร็งแล้วเดินดุ้มๆเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าต้มกินอาทิตย์เดียวหายไหมครับ   หลวงพ่อก็ต้องมีค่ารถค่าน้ำค่าไฟฟ้า คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับเงินนะครับ  ที่เกริ่นมานั้นก็เพื่อบอกพื้นฐานของคนในยุคนี้ว่าเกือบทุกอย่างนั้นล้วนใช้เงิน  ยิ่งเรามีเงินเยอะความได้เปรียบทางเศรษฐกิจของครอบครัวก็จะดีขึ้น เมื่อมีเงินเยอะโอกาศต่างๆก็ย่อมจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
       
        การศึกษาก็เช่นกันครับ  เมื่อเราส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ มีคุณภาพเด็กๆก็จะฉลาดมีความรู้และเติบโตเป็นพลเมืองที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป  เเล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงเรียนไหนมีคุณภาพ  โรงเรียนไหนมีครูดีๆบ้าง อันนี้ตอบได้ยากครับ แต่วันนี้ครูก็พอจะพูดให้พอเห็นภาพได้ในมุมหนึ่งครับ 

        คนที่มีเงินเยอะๆหน่อยจะส่งลูกเรียน ไปเรียนในโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ หรือส่งไปเรียนเมืองนอก โรงเรียนเหล่านั้นสอนดีกว่าโรงเรียนวัดจริงหรือไม่อันนี้ครูไม่รู้ครับ  ผู้ปกครองครับครูอยากจะบอกว่า  ไม่ว่าท่านจะส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนนานาชาติ หรือที่ไหนก็ตามเเต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพิจารณาให้ดีก็คือ  โรงเรียนนั้นครูเขาได้สอนให้ลูกๆ  "ติดดิน"  ไหมครับ คำว่าติดดินในที่นี้หมายถึง พื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น กินข้าวเสร็จแล้วล้างจานเอง สอนให้ทำงานหาเงินเอง สอนให้ตอกตะปูซ่อมโต๊ะเก้าอี้เอง  สอนให้ปลูกผักกินเอง  สอนให้ทำอาหารกินเอง สอนให้ซักผ้าเอง สอนให้ลูกล้างห้องน้ำ เป็นต้น 

          ท่านผู้อ่านครับถ้าท่านคิดว่า  ดิฉันมีเงินสะอย่างลูกของฉันมีศักดิ์ศรี  ครอบครัวของฉันเป็นผู้ดี ลูกของฉันมีหน้าที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ได้เกรด4ทุกวิชาแค่นั้พ่อเเม่ก็ภูมิใจเเล้ว  ส่วนงานเหล่านั้นลูกของดิฉันไม่จำเป็นต้องทำ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภารโรง เเม่บ้านเขาทำเถอะค่ะ ถ้าท่านคิดแบบนี้ก็ขอเเนะนำให้หยุดอ่านตั้งแต่ตรงนี้เลยเพราะเนื้อหาต่อไปคงจะไม่เหมาะกับแนวคิดของท่านครับ  

          ตัวอย่างประโยชน์ของการติดดินคือ

 
     

1.เมื่อเด็กถูกสอนให้รู้จักทำความสะอาด ล้างห้องน้ำที่โรงเรียน  (หมายถึงมีเวรทำความสะอาดบริเวรโรงเรียน) เมื่อกลับบ้านไปเด็กเขาก็จะไปทำความสะอาดห้องน้ำที่บ้านของตัวเอง  ลดภาระให้กับพ่อแม่ได้เยอะเลย เว้นแต่คุณมีแม่บ้าน  อย่าลืมนะครับเมื่อเด็กเขาโตไปเขาก็จะเเยกย้ายไปสร้างครอบครัวของเขาเอง ถ้าครูไม่เคยสอนให้เขาล้างห้องน้ำตั้งเเต่เด็กเขาก็จะติดนิสัยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ ถ้าเขามีความสุขกับการจ้างก็แล้วแต่ครับ 



2.เมื่อเด็กถูกสอนให้ล้างจานข้าวเอง เมื่อเขากินข้าวที่บ้านเขาก็จะล้างจานเองครับ  ถ้าพ่อแม่ชอบล้างจานให้ลูกก็เเล้วเเต่ครับ  อย่าลืมนะครับว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป  ตายก่อนลูกๆแน่ๆ








3.เมื่อเขาถูกสอนให้ปลูกผักที่โรงเรียน  เขาก็อาจจะชอบและกลับไปปลูกผักที่บ้านกินเอง  พ่อแม่ไม่ต้องซื้อผักในตลาดที่อาจปนเปื้อนพิษมากิน แถมยังประหยัดเงินด้วย เงินที่ซื้อผักหรือเงินที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปโดยเฉลี่ยแล้วแพงกว่า การปลูกผักกินเอง  ทุกวันนี้วิธีการปลูกผักในเมือง ในคอนโดมีเยอะเเยะครับ  เช่น เมล็ดผักแตงกวา ซองละ25บาท ใช้พื้นที่ปลูก2เมตร คูณ 2เมตร กินได้เป็นเดือนครับ









4. ถ้าโรงเรียนไหนสอนให้เด็กๆทำงานช่าง เช่น ซ่อมโต๊ะเก้าอี้  สอนตอกตะปู ตัดไม้  เมื่อเขาโตไปเขาก็จะสามารถซ่อมอุปกรณ์ที่บ้านได้  ไม่ต้องไปจ้างช่างให้เสียเงินเปล่าครับ เช่น ถ้าพัดลมที่บ้านไม่หมุน แค่ซื้ออุปกรณ์ ที่เรียกว่า คาปาซิเตอร์ ตัวละ40บาท มาเปลี่ยน ก็หมุนได้เเล้ว ในขณะที่คนไม่รู้จะทิ้งและซื้อพัดลมตัวใหม่มาใช้


5.โรงเรียนไหนที่สอนให้เด็กๆรู้จักการทำอาชีพเพื่อหารายได้ตั้งแต่เด็กๆ  เขาจะรู้จักความลำบากและเข้าใจว่าพ่อแม่นั้นกว่าจะหาเงินมาได้เหนื่อยขนาดไหน  ถ้าเขาได้เรียนการทำอาชีพมาจากโรงเรียนเขาก็จะคิดได้ก่อน  เวลาที่เขาเเบมือขอเงินจากพ่อแม่เขาจะมีรางวัลกลับคืนให้พ่อแม่


      ทำไมโรงเรียนต้องสอนเรื่องพวกนี้  
      เรื่องเหล่านี้นักเรียนจำเป็นต้องได้ทำตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงไม่ต่ำกว่าชั้นมธยมศึกษาปีที่3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กๆนั้นสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ทักษะต่างๆเพื่อจำและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตตอนโต คือถ้าพลาดในช่วงนี้ต่อไปเขาจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนรู้ การที่ต้องไปฝึกตอนโตนั้นไม่ง่ายเลย และเด็กเขาจะดื้อด้วยซ้ำไป  พอขึ้นมัธยมปลายแล้วงานจะเยอะ ยิ่งเรียนมหาวิทยาลัยเเล้วการที่เราจะไปซื้อข้าวในร้านอาหารแล้วจะไปขอล้างจานให้ร้านอาหารนั้นคงไม่มีกระมั้ง พอเขาเรียนมหาวิทยาลัยจบอาจจะได้เกียรตินิยมก็ตาม จากนั้นเขาก็ออกไปทำงานและมีครอบครัวแต่กลับรับผิดชอบเรื่องงานบ้านไม่เป็น  กวาดบ้านไม่เป็น ซ่อมเเซมโต๊ะตู้เตียงไม่เป็น ปลูกต้นไม้ประดับสวนหน้าบ้านก็ไม่เป็น พ่อแม่จะภูมิใจไหมครับ พ่อเเม่หลายคนนั้นคิดว่ากลัวลูกจะได้รับบาดเจ็บ เสียการเรียนบ้าง เดี๋ยวเขาโตไปเขาก็จะทำเป็นเอง ฝันไปเถอะครับว่าเขาจะเป็น! สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกตั้งแต่ตอนเด็กๆถึงมีมีนิสัยที่ถาวรครับ 

      สมมติถ้าพ่อเเม่เสียชีวิตแต่ว่าวิญญาณยังอยู่ ถ้าท่านเห็นลูกของท่านล้างจานไม่เป็นใช้เเต่แม่บ้าน ซื้อเเต่กับข้าว ปลูกผักไม่เป็น ท่านในขณะที่เป็นวิิญญาณอยู่นั้นซึ่งไม่สามารถไปสอนอะไรเขาได้เเล้วท่านจะรู้สึกอย่างไร 

         
       นี่คือพื้นฐานชีวิตที่เเท้จริงที่โรงเรียนจำเป็นต้องสอน  (พื้นฐานอย่างอื่นยังมีอีกเยอะเเยะครับ  อย่างเช่น เรื่องการเงิน การใช้เงิน การออมเงิน  การลงทุน) ไม่ว่าเด็กๆเขาฝันอยากจะเป็นเป็นนายกรัฐมนตรี  หรือเกษตรกรก็ตามเขาต้องทำสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นจงกลับไปเช็คว่าโรงเรียนของเด็กๆไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวัด โรงเรียนบ้านๆ โรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเมืองนอก นั้นคุณครูเขาได้สอนทักษะเหล่านี้หรือไม่ 

อย่าคิดว่าเกรด4จะช่วยทำให้เขาล้างจานเป็นนะครับ

โรงเรียนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สอนคนให้เก่งให้เป็นคนดี  
ให้มีความรู้  ไม่ใช่สอนให้เป็นคุณหนู 

มือเปื้อนดินนิดหน่อย ตอกตะปูโดนนิ้วบ้าง มีดบาดนิ้วบ้างคงไม่ตายหรอก  
แต่ถ้าไม่เปื้อนไม่เจ็บ จะเเข็งเเกร่งได้อย่างไรกัน

สวัสดีครับ 

ครูปัญญา  กายะชาติ  ครูศิลปะ
06 กรกฎาคม 2562

ท่านสามารถติดตามผลงานได้ที่



วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

1 อย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอตั้งแต่เด็กจนโต เชื่อเเล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างเเน่นอน


       1 อย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอตั้งแต่เด็กจนโต ทำตามเเล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างเเน่นอนครูเองเกิดมาในยุค Generation Y  เป็นยุคที่โทรศัพท์กำลังบุกเบิกในประเทศไทยได้เห็นตอนที่วงการอุสาหกรรมในไทยกำลังบูม เเละวงการศึกษาไทยก็เริ่มขึ้นมาจากการที่โรงงานอุสาหกรรมนั้นต้องการคนที่มีการศึกษาสูงเพื่อเข้าไปทำงานก็เลยทำให้คนไทยในยุคนั้นเร่งเรียนเพื่อให้จบสูงๆเเละคนที่เรียนได้เกรดดีๆจะได้เข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมได้รับเงินเดือนสูงๆและสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ ซึ่งในตอนนั้นเมื่อ20ปีที่แล้วการศึกษาสูงยิ่งดีคือถ้าใครเรียนจบสูงก็คงไม่ตกงาน  ส่วนคนที่เรียนมาน้อยก็ต้องเป็นสาวโรงงานอะไรประมาณนั้น  ค่านิยมสมัยนั้นสังคมให้ค่ากับการเรียนมาก  ต้องเป็นครู ต้องเป็นทหาร ตำรวจ  ทำงานในห้องแอร์เป็นพนักงานธนาคาร  เรียนให้สูงเข้าไว้จะได้เป็นเจ้าคนนายคน  ฉะนั้นทุกครัวเรือนที่มีฐานะหน่อยต่างเร่งส่งลุกหลานเรียนหนังสือให้สูงเพื่อป้อนลูกตัวเองเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม  นั่นคือโจทย์และคำตอบของการศึกษาในยุคก่อน

         นอกจากเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรมแล้วยังมีเรื่องของวัฒนธรรมอีกด้วย  ถึงครูจะไม่ใช่คนรุ่นยายแต่ก็พอจะได้สัมผัสวัฒนธรรมเก่าๆของยายด้วย เคยทาเล็ปนุ่งผ้าถุงทาลิปสติกก่อนนอนกันผีแม่ม้ายด้วยซ้ำไป หลังจากนั้นไม่นานวัฒนธรรมของฝรั่งก็เริ่มโผล่เข้ามาในหมูบ้าน  มีเเฟชั่นใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมายวัยรุ่นทุกบ้านจะพับผ้าถุงไว้ปลวกแทบจะขึ้นละ ใส่ทีก็วันพระโน่นหละ เเฟชั่นใหม่ๆเกือบจะกลืนกินวัฒนธรรมเก่าๆไปหมดแล้ว

        ครูเกิดมาเป็นช่วงรอยต่อของวัฒนธรรมและเทคโนโลยีต่างชาติเข้ามาพอดี แต่พวกเธอเกิดมาก็ได้ใช้สมาร์ทโฟน รูดหน้าจอไปมา หน้าจอทำได้ทุกอย่าง เล่นเกมส์ ดูหนัง โทร .......ทำได้ทุกอย่างจริงๆ 
ความสะดวกสบายเหล่านี้ทำให้เธอไม่ค่อยจะเข้าใจเเละรับรู้ความรู้สึกของคนรุ่นเก่าๆได้พอ  จึงทำให้ความคิดและพฤติกรรมของพวกเธอนั้นอาจจะขัดเเย้งกับพ่อแม่ตายยายโดยที่เธอไม่รู้ตัวเเละไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น


      หนึ่งอย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอมาตั้งเเต่เด็กจนโตนั้นคือ "จงเดินตามความฝันของตัวเองให้ได้"   ความฝันของคนยุคก่อนๆนั้นกว่าจะไปถึงนั้นมีอุปสรรคอยู่มากมายแต่หลายคนก็ประสบความสำเร็จในชีวิตได้   แต่พวกเธอนั้นซึ่งเกิดในยุคเทคโนโลยีมากมายที่หันไปทางไหนก็ละลานตาไปหมด ฉะนั้นจงใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยสร้างฝันให้ตัวเอง  เทคโนโลยีนั้นเป็นเครื่องมือหรือทางลัดที่จะนำพาเราให้ไปถึงฝันได้เร็วขึ้นซึ่งผิดกับยุคของเเม่พวกเธออย่างมาก   
      จะเห็นได้ว่าครูจะตามพวกเธอตลอดเวลาคอยดุอยู่ห่างๆแม้ว่าพวกเธอจะจบม.3ออกไปเรียนต่อที่ไหนก็ตาม  ครูจะนัดเจอเพื่อเช็คดูความเป็นระเบียบของชีวิตพวกเธออยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับให้การเเนะนำอย่างถูกวิธี
        ฉะนั้นความฝันของพวกเธอทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น จงตามหาความฝันไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม  "ถ้าเธอไม่ทำความฝันของเธอ คนอื่นจะจ้างพวกเธอไปทำความฝันของเขาเอง"


สวัสดีครับ

ครูปัญญา  กายะชาติ ครูศิลปะ
 19 มิถุนายน  2562


ท่านสามารถติดตามบทความเพิ่มเติมได้ที่




วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562

10 ข้อดีโรงเรียนบ้านนอก




        ถ้าคุณเป็นคนบ้านนอกก็คงจะเข้าใจดีว่าบรรยากาศของความเป็นบ้านนอกนั้นเป็นอย่างไร
แต่วันนี้ครูจะมาเล่าให้อ่านว่าโรงเรียนบ้านนอกนั้นดีอย่างไร  โรงเรียนบ้านนอกในที่นี่หมายถึงทั้งโรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยมที่ตั้งอยู่นอกเทศบาลนะครับ ต้องบอกไว้ก่อนว่าใช่ว่าคนบ้านนอกทุกคนจะรู้เพราะคนบ้านนอกหลายคนนั้นพ่อเเม่ส่งไปเรียนในเมืองตั้งแต่ขึ้นป.1จนจบ.6 ก็มีเยอะเเยะใช่ไหมครับ  ย้ำนะครับว่าเป็นข้อดี ข้อเสียมีไหมมีครับเเต่วันนี้ครูจะเล่าเฉพาะข้อดีเท่านั้นและเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของครูเท่านั้น และไม่ได้ชวนเชื่อให้มาเรียนในโรงเรียนบ้านนอกแต่อย่างใดนะครับ คุณผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อนะครับ เพียงเเต่ครูอย่ากจะเล่า10ข้อที่ครูได้สัมผัสมาพอขำๆก็เท่านั้นเองครับ

 1.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีครูที่เก่งพอๆกับครูโรงเรียนในเมือง  เพราะอะไรครับ  ก็เพราะว่าทั้งครูบ้านนอกเเละครูในเมืองนั้นอย่างน้อยก็จบปริญญาตรีเหมือนกัน 10ปีที่ผ่านมานั้นดีกรีมหาวิทยาลัยของไทยทุกวันนี้มีคุณภาพพอๆกันแล้ว และอีกอย่างคนที่จะมาเป็นครูนั้นตามหลักการเบื้องต้นก็ต้องสอบเข้ามา  ถ้าสอบไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นครู แน่นอนเเหละครับคนที่สอบได้ก็ต้องเก่งในระดับหนึ่ง ยกเว้นการได้เป็นครูจากกรณีพิเศษครับ 

2.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเเท้จริง  ตั้งแต่ตื่นนอนอาบน้ำกินข้าวไปโรงเรียนและกลับบ้านจนถึงนอน  เด็กๆจะได้สูดอ็อกซิเจนได้เต็มปอด นั้นหมายถึงสุขภาพกายที่ดีของเด็กๆ

3.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความสงบไม่มีรถที่วิ่งไปวิ่งมามีเสียงดังรบกวน  ยกเว้นโรงเรียนที่อยู่ใกล้โรงสีข้าวหรือใกล้สนามบิน  ฉะนั้นจะไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวนกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ทำให้ทั้งครูเเละนักเรียนมีสมาธิในการเรียนหนังสือ

4.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความสัมพันธ์กับ บ้าน วัดอย่างแท้จริง หลายๆโรงเรียนใช้รั้วเดียวกันกับวัดเลยก็มี  บางโรงเรียนติดทั้งวัดติดทั้งสถานีอนามัย  หรือกระทั่งป่าช้า นักเรียนจะได้ร่วมกิจกรรมทางศาสนา งานสังคมกับชุมชนได้อย่างสนิทใจ  นั่นหมายความว่านักเรียนจะมีความสนิทสนมกับชาวบ้าน ผู้นำหมู่บ้าน พระสงฆ์ ทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมได้ดีขึ้น

5.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความปลอดภัยในการเดินทางมาโรงเรียนมาก ถนนในหมู่บ้านรถไม่ค่อยพลุกพล่านเด็กๆบางคนปั่นจักรยานมาโรงเรียนทำให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านช่วงระหว่างทางมาโรงเรียน ผู้ปกครองมีความมั่นใจว่าเด็กๆปั่นจักรยานไปถึงโรงเรียนอย่างแน่นอน  ยกเว้นแต่3จังหวัดชายเเดนใต้หรือเปล่าหรือยังไงครับ

ุ6.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีที่เล่นแบบบ้านๆให้นักเรียนเล่นอย่างสนุกสนาน เช่น สนามหญ้าหรือสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยโคลนหรือน้ำขัง พวกเขาสามารถวิ่งเล่นหรืออาจจะลงไปเกลือกกลิ้งเล่นได้อย่างสนุกสนาน ยิ่งตอนฝนตกยิ่งชอบกันใหญ่เล่นเเตะฟุตบอลกลางสายฝนอย่างเมามันส์แถมยังสร้างภูมิต้านทานสุขภาพและมีสุขภาพจิตที่ดีด้วยซ้ำไป แต่ครูบางโรงเรียนนั้นสั่งห้ามนักเรียนเล่นตากฝนเด็ดขาด  เด็กบ้านนอกส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกคุณหนูนะจ๊ะ

7.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีผลไม้ประจำโรงเรียนหลายๆอย่าง  เช่น มะม่วง ชมพู่ มะพร้าว นักเรียนสามารถปีนเก็บกินได้อย่างเอร็ดอร่อย การปีนป่ายต้นไม้นั้นเป็นการเล่นที่เป็นธรรมชาติจริง มีส่วนช่วยเรื่องพัฒนาทางด้านร่างกายได้เป็นอย่างดี  แต่ทุกวันนี้ครูยังหวงห้ามไม่ให้เด็กปีนต้นไม้แต่ก็ดีที่มีการสร้างสนามเด็กเล่นสร้างปัญญาทดเเทน  ตอนเป็นเด็กครูขึ้นต้นมะม่วงหิมมะพานประจำครับ

8.โรงเรียนบ้านนอกนั้นครูจะมีความสนิทสนมกับนักเรียนและผู้ปกครองมาก ก็เพราะว่าครูมีความสะดวกในการไปเยี่ยมบ้านนักเรียนมาก  ปกครองนักเรียนบางคนฝากผลไม้กับลูกมาให้ครูเป็นประจำ  สิ่งที่ครูประทับใจอย่างหนึ่งคือเมื่อครั้งหนึ่งผู้ปกครองมาก้มกราบครูที่ช่วยดูเเลลูกเขาให้เป็นอย่างดี ทั้งๆที่ครูก็ดูเเลปกติทั่วไป 

9.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีวิวทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติอย่างเเท้จริง โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่บนดอยนั้นทิวทัศน์จะเป็นภูเขามีแม่น้ำลำคลองที่สวยงาม  ทั้งครูและนักเรียนเสพภาพเหล่านี้ทุกวันทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น

10.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีการเเข่งขันการศึกษาน้อย ทำให้นักเรียนไม่ค่อยมีความเครียดเมื่อเทียบกับโรงเรียนในเมือง ความคาดหวังของผู้ปกครองนั้นก็มีสูงอยุ่บ้างเเต่ไม่ค่อยเยอะ แต่ก็มีประเด็นเรื่องของการสอบโอเน็ทที่รัฐบาลบังคับให้เด็กบ้านนอกจะต้องสอบได้คะเเนนดีๆเท่ากับเด็กในเมือง เรื่องนี้ครูเครียดอยู่พอสมควรครับ  ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่าการศึกษาของโรงเรียนในชนบทนั้นด้อยคุณภาพกว่าในเมือง  แต่ในยุคนี้นั้นนักเรียนสามารถค้นหาความรู้ทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย  แต่ถึงอย่างไรในความเป็นจริงของยุคนี้อีกอย่างหนึ่ง  การเเข่งขันกันเรื่องการศึกษาหมายถึงเกรด4ไม่ค่อยมีผลต่อการดำเนินชีวิตเหมือนในยุคเมื่อ10กว่าปีที่เเล้วที่ต้องเอาเกรดดีๆไปสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัย  และก็ต้องได้เกียรตินิยมแล้วมีหน้ามีตาเอาวุฒิไปสมัครงาน   ทุกวันนี้เราเเข่งขันที่ความสามารถโดยแท้ เกียรตินิยมเอาไปใช้ทำอะไรไม่ค่อยจะได้เเล้วครับ  ทุกวันนี้จะเห็นว่าอายุน้อยร้อยล้านมีเยอะเเยะ  ฉะนั้นคนยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนๆเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากเด็กๆเขาอาจจะเก่งเเละฉลาดกว่าที่เราคิดเสียอีกครับ

   ข้อดียังมีอีกมากมาย เช่น ประหยัดค่าอาหารหรือค่าเดินทาง ไม่ต้องตื่นเเต่เช้าไปโรงเรียน ไม่ต้องเจอรถติดให้อารมณ์เสีย บางคนเจอรถติดแล้วสมองพังก่อนจะถึงโรงเรียนด้วยซ้ำไปครับ แต่10ข้อนี้ก็พอที่จะมองภาพออกเเล้วนะครับ การส่งลูกไปเรียนหนังสือนั้นถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนเรา  ผู้ปกครองควรเลือตามความเหมาะสมกับฐานะของครอบครัวนะครับ ส่งท้าย ครูปัญญา เรียนจบอนุบาลจนถึงม.6จากบ้านนอก และก้เป็นครูบ้านอกมา10ปีแล้วครับผม สวัสดีครับ

เเนะนำบทความเรื่อง ทำไมต้องเรียนโรงเรียนแพง  ของลงทุนเเมน



ครูปัญญา  กายะชาติ ครูศิลปะ

18 มิถุนายน 2562


ท่านสามารถติดตามครุปัญญาได้ที่






วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ถ้าคุณคิดว่าเด็กไทยโง่กว่าเด็กญี่ปุ่น คุณคิดผิดครับ




   ถ้าคุณคิดว่าเด็กไทยโง่กว่าเด็กญี่ปุ่น คุณคิดผิดครับ

     เราอาจเคยได้ยินมาว่าคนไทยนั้นไม่มีระเบียบวินัย สู้คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้  หรืออะไรทำนองนี้  แต่ก่อนครูเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันและก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  แต่พอค้นหาเหตุผลจริงๆแล้วก็พอจะได้คำตอบอยู่บ้างครับ ก่อนที่จะไปเรื่อง  "ความจริงเเล้วเด็กไทยไม่ได้โง่กว่าเด็กญี่ปุ่น" ครูขอเอาเรื่องประเทศญี่ปุ่นจาก เฟสนี้ นี้มาให้ดูก่อนนะครับ เพื่อเป็นการเกริ่นนำความคิดก่อน






















     เห็นไหมครับว่านอกจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตสำนึกแล้วนั้น ญี่ปุ่นนั้นเขาจัดระเบียบสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อบังคับให้ทุกคนทำตามอย่างดีเยี่ยม

ที่ผ่านมาโรงเรียนครุเองนั้นมีปัญหาขยะล้นถัง และเด็กๆทิ้งเรียราดตามพื้นทั่วไป ทางโรงเรียนก็เลยแก้ปัญหา  โดยสร้างที่ทิ้งขยะและแยกขยะให้ 2 ที่ แต่ขยะนั้นก็ยังไม่ได้ถูกจัดการให้ดีเท่าที่ควร 









ทำมาประมาณ3ปีแต่ไม่สำเร็จ นักเรียนยังคงทิ้งขยะลงในถังเดียวกัน

ครูครุ่นคิดอยู่นานมากจนไปหาข้อมูลว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีวินัยมากว่าคนไทย  และเอาข้อมูลมาประยุกต์ใช้ดู

       ปรากฎว่า  ถังขยะที่โรงเรียนทำให้นั้นอยู่ด้านล่างอาคารเด็กๆไม่สะดวกที่จะเอามาเเยก  เพราะว่าถังขยะที่อยู่ในห้องนั้นมีแค่ใบเดียว นักเรียนทิ้งขยะรวมกันหมด  มีทั้งถุงขนม เศษอาหาร กระดาษ และอื่นๆ พอเวรห้องเอาลงมาทิ้งในถังขยะใบใหญ่ที่จัดให้แยกขยะด้านล่างอาคารนั้น ไม่สะดวกที่จะเเยะเพราะมันปนกันจนไม่น่าเอามือไปจับ  
       ครูก็เลยคิดวิธีที่จะติดตั้งถังขยะในห้องเรียนเพิ่มขึ้นห้องละ3ใบโดยแยกเป็น กระดาษ ขวดพลาสติก  และเศษอาหาร แต่ว่าถังขยะที่แยกกันแบบี้ในท้องตลาดนั้นแพงมาก ครูก็เลยทำถังขยะมาเอง
       โดยเอาตาข่ายพลาสติกที่มีอยู่มามัดให้เป็นวงกลม แจกให้ห้องละ1ใบเอาไว้ใส่ขวดพลาสติกและแก้ว  ผลปรากฎว่าได้ผลครับ























      เด็กๆเขาสามารถที่จะจัดการกับขยะได้เป็นอย่างดีทำให้การเเยกขยะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสะอาดเพิ่มขึ้นร้อยละ80%

    เห็นไหมครับว่าเราต้องจัดสภาพเเวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้  จิตสำนึกหลายๆอย่างนั้นต้องมีเครื่องมือช่วย  ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็คงไม่ต่างกันหรอกครับ


นี่คือหลักฐานว่าเด็กไทยไม่ได้โง่ไปกว่าเด็กญี่ปุ่น
ท่านลองเอาไปทำดูนะครับคงเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนของท่านเองเป็นอย่างมาก

สวัสดีครับ

ครูปัญญา  กายะชาติ  ครุศิลปะ

17 มิถุนายน 2562



ท่านสามารถติดตามได้  เฟสส่วนตัว

                                        เเละ เพจเมื่อฉันเป็นครู