วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562

1 อย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอตั้งแต่เด็กจนโต เชื่อเเล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างเเน่นอน


       1 อย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอตั้งแต่เด็กจนโต ทำตามเเล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จอย่างเเน่นอนครูเองเกิดมาในยุค Generation Y  เป็นยุคที่โทรศัพท์กำลังบุกเบิกในประเทศไทยได้เห็นตอนที่วงการอุสาหกรรมในไทยกำลังบูม เเละวงการศึกษาไทยก็เริ่มขึ้นมาจากการที่โรงงานอุสาหกรรมนั้นต้องการคนที่มีการศึกษาสูงเพื่อเข้าไปทำงานก็เลยทำให้คนไทยในยุคนั้นเร่งเรียนเพื่อให้จบสูงๆเเละคนที่เรียนได้เกรดดีๆจะได้เข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมได้รับเงินเดือนสูงๆและสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ ซึ่งในตอนนั้นเมื่อ20ปีที่แล้วการศึกษาสูงยิ่งดีคือถ้าใครเรียนจบสูงก็คงไม่ตกงาน  ส่วนคนที่เรียนมาน้อยก็ต้องเป็นสาวโรงงานอะไรประมาณนั้น  ค่านิยมสมัยนั้นสังคมให้ค่ากับการเรียนมาก  ต้องเป็นครู ต้องเป็นทหาร ตำรวจ  ทำงานในห้องแอร์เป็นพนักงานธนาคาร  เรียนให้สูงเข้าไว้จะได้เป็นเจ้าคนนายคน  ฉะนั้นทุกครัวเรือนที่มีฐานะหน่อยต่างเร่งส่งลุกหลานเรียนหนังสือให้สูงเพื่อป้อนลูกตัวเองเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม  นั่นคือโจทย์และคำตอบของการศึกษาในยุคก่อน

         นอกจากเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรมแล้วยังมีเรื่องของวัฒนธรรมอีกด้วย  ถึงครูจะไม่ใช่คนรุ่นยายแต่ก็พอจะได้สัมผัสวัฒนธรรมเก่าๆของยายด้วย เคยทาเล็ปนุ่งผ้าถุงทาลิปสติกก่อนนอนกันผีแม่ม้ายด้วยซ้ำไป หลังจากนั้นไม่นานวัฒนธรรมของฝรั่งก็เริ่มโผล่เข้ามาในหมูบ้าน  มีเเฟชั่นใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมายวัยรุ่นทุกบ้านจะพับผ้าถุงไว้ปลวกแทบจะขึ้นละ ใส่ทีก็วันพระโน่นหละ เเฟชั่นใหม่ๆเกือบจะกลืนกินวัฒนธรรมเก่าๆไปหมดแล้ว

        ครูเกิดมาเป็นช่วงรอยต่อของวัฒนธรรมและเทคโนโลยีต่างชาติเข้ามาพอดี แต่พวกเธอเกิดมาก็ได้ใช้สมาร์ทโฟน รูดหน้าจอไปมา หน้าจอทำได้ทุกอย่าง เล่นเกมส์ ดูหนัง โทร .......ทำได้ทุกอย่างจริงๆ 
ความสะดวกสบายเหล่านี้ทำให้เธอไม่ค่อยจะเข้าใจเเละรับรู้ความรู้สึกของคนรุ่นเก่าๆได้พอ  จึงทำให้ความคิดและพฤติกรรมของพวกเธอนั้นอาจจะขัดเเย้งกับพ่อแม่ตายยายโดยที่เธอไม่รู้ตัวเเละไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น


      หนึ่งอย่างที่ครูพยายามสอนพวกเธอมาตั้งเเต่เด็กจนโตนั้นคือ "จงเดินตามความฝันของตัวเองให้ได้"   ความฝันของคนยุคก่อนๆนั้นกว่าจะไปถึงนั้นมีอุปสรรคอยู่มากมายแต่หลายคนก็ประสบความสำเร็จในชีวิตได้   แต่พวกเธอนั้นซึ่งเกิดในยุคเทคโนโลยีมากมายที่หันไปทางไหนก็ละลานตาไปหมด ฉะนั้นจงใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยสร้างฝันให้ตัวเอง  เทคโนโลยีนั้นเป็นเครื่องมือหรือทางลัดที่จะนำพาเราให้ไปถึงฝันได้เร็วขึ้นซึ่งผิดกับยุคของเเม่พวกเธออย่างมาก   
      จะเห็นได้ว่าครูจะตามพวกเธอตลอดเวลาคอยดุอยู่ห่างๆแม้ว่าพวกเธอจะจบม.3ออกไปเรียนต่อที่ไหนก็ตาม  ครูจะนัดเจอเพื่อเช็คดูความเป็นระเบียบของชีวิตพวกเธออยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับให้การเเนะนำอย่างถูกวิธี
        ฉะนั้นความฝันของพวกเธอทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น จงตามหาความฝันไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม  "ถ้าเธอไม่ทำความฝันของเธอ คนอื่นจะจ้างพวกเธอไปทำความฝันของเขาเอง"


สวัสดีครับ

ครูปัญญา  กายะชาติ ครูศิลปะ
 19 มิถุนายน  2562


ท่านสามารถติดตามบทความเพิ่มเติมได้ที่




วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562

10 ข้อดีโรงเรียนบ้านนอก




        ถ้าคุณเป็นคนบ้านนอกก็คงจะเข้าใจดีว่าบรรยากาศของความเป็นบ้านนอกนั้นเป็นอย่างไร
แต่วันนี้ครูจะมาเล่าให้อ่านว่าโรงเรียนบ้านนอกนั้นดีอย่างไร  โรงเรียนบ้านนอกในที่นี่หมายถึงทั้งโรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยมที่ตั้งอยู่นอกเทศบาลนะครับ ต้องบอกไว้ก่อนว่าใช่ว่าคนบ้านนอกทุกคนจะรู้เพราะคนบ้านนอกหลายคนนั้นพ่อเเม่ส่งไปเรียนในเมืองตั้งแต่ขึ้นป.1จนจบ.6 ก็มีเยอะเเยะใช่ไหมครับ  ย้ำนะครับว่าเป็นข้อดี ข้อเสียมีไหมมีครับเเต่วันนี้ครูจะเล่าเฉพาะข้อดีเท่านั้นและเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของครูเท่านั้น และไม่ได้ชวนเชื่อให้มาเรียนในโรงเรียนบ้านนอกแต่อย่างใดนะครับ คุณผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อนะครับ เพียงเเต่ครูอย่ากจะเล่า10ข้อที่ครูได้สัมผัสมาพอขำๆก็เท่านั้นเองครับ

 1.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีครูที่เก่งพอๆกับครูโรงเรียนในเมือง  เพราะอะไรครับ  ก็เพราะว่าทั้งครูบ้านนอกเเละครูในเมืองนั้นอย่างน้อยก็จบปริญญาตรีเหมือนกัน 10ปีที่ผ่านมานั้นดีกรีมหาวิทยาลัยของไทยทุกวันนี้มีคุณภาพพอๆกันแล้ว และอีกอย่างคนที่จะมาเป็นครูนั้นตามหลักการเบื้องต้นก็ต้องสอบเข้ามา  ถ้าสอบไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นครู แน่นอนเเหละครับคนที่สอบได้ก็ต้องเก่งในระดับหนึ่ง ยกเว้นการได้เป็นครูจากกรณีพิเศษครับ 

2.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเเท้จริง  ตั้งแต่ตื่นนอนอาบน้ำกินข้าวไปโรงเรียนและกลับบ้านจนถึงนอน  เด็กๆจะได้สูดอ็อกซิเจนได้เต็มปอด นั้นหมายถึงสุขภาพกายที่ดีของเด็กๆ

3.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความสงบไม่มีรถที่วิ่งไปวิ่งมามีเสียงดังรบกวน  ยกเว้นโรงเรียนที่อยู่ใกล้โรงสีข้าวหรือใกล้สนามบิน  ฉะนั้นจะไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวนกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ทำให้ทั้งครูเเละนักเรียนมีสมาธิในการเรียนหนังสือ

4.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความสัมพันธ์กับ บ้าน วัดอย่างแท้จริง หลายๆโรงเรียนใช้รั้วเดียวกันกับวัดเลยก็มี  บางโรงเรียนติดทั้งวัดติดทั้งสถานีอนามัย  หรือกระทั่งป่าช้า นักเรียนจะได้ร่วมกิจกรรมทางศาสนา งานสังคมกับชุมชนได้อย่างสนิทใจ  นั่นหมายความว่านักเรียนจะมีความสนิทสนมกับชาวบ้าน ผู้นำหมู่บ้าน พระสงฆ์ ทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมได้ดีขึ้น

5.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีความปลอดภัยในการเดินทางมาโรงเรียนมาก ถนนในหมู่บ้านรถไม่ค่อยพลุกพล่านเด็กๆบางคนปั่นจักรยานมาโรงเรียนทำให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านช่วงระหว่างทางมาโรงเรียน ผู้ปกครองมีความมั่นใจว่าเด็กๆปั่นจักรยานไปถึงโรงเรียนอย่างแน่นอน  ยกเว้นแต่3จังหวัดชายเเดนใต้หรือเปล่าหรือยังไงครับ

ุ6.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีที่เล่นแบบบ้านๆให้นักเรียนเล่นอย่างสนุกสนาน เช่น สนามหญ้าหรือสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยโคลนหรือน้ำขัง พวกเขาสามารถวิ่งเล่นหรืออาจจะลงไปเกลือกกลิ้งเล่นได้อย่างสนุกสนาน ยิ่งตอนฝนตกยิ่งชอบกันใหญ่เล่นเเตะฟุตบอลกลางสายฝนอย่างเมามันส์แถมยังสร้างภูมิต้านทานสุขภาพและมีสุขภาพจิตที่ดีด้วยซ้ำไป แต่ครูบางโรงเรียนนั้นสั่งห้ามนักเรียนเล่นตากฝนเด็ดขาด  เด็กบ้านนอกส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกคุณหนูนะจ๊ะ

7.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีผลไม้ประจำโรงเรียนหลายๆอย่าง  เช่น มะม่วง ชมพู่ มะพร้าว นักเรียนสามารถปีนเก็บกินได้อย่างเอร็ดอร่อย การปีนป่ายต้นไม้นั้นเป็นการเล่นที่เป็นธรรมชาติจริง มีส่วนช่วยเรื่องพัฒนาทางด้านร่างกายได้เป็นอย่างดี  แต่ทุกวันนี้ครูยังหวงห้ามไม่ให้เด็กปีนต้นไม้แต่ก็ดีที่มีการสร้างสนามเด็กเล่นสร้างปัญญาทดเเทน  ตอนเป็นเด็กครูขึ้นต้นมะม่วงหิมมะพานประจำครับ

8.โรงเรียนบ้านนอกนั้นครูจะมีความสนิทสนมกับนักเรียนและผู้ปกครองมาก ก็เพราะว่าครูมีความสะดวกในการไปเยี่ยมบ้านนักเรียนมาก  ปกครองนักเรียนบางคนฝากผลไม้กับลูกมาให้ครูเป็นประจำ  สิ่งที่ครูประทับใจอย่างหนึ่งคือเมื่อครั้งหนึ่งผู้ปกครองมาก้มกราบครูที่ช่วยดูเเลลูกเขาให้เป็นอย่างดี ทั้งๆที่ครูก็ดูเเลปกติทั่วไป 

9.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีวิวทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติอย่างเเท้จริง โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่บนดอยนั้นทิวทัศน์จะเป็นภูเขามีแม่น้ำลำคลองที่สวยงาม  ทั้งครูและนักเรียนเสพภาพเหล่านี้ทุกวันทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น

10.โรงเรียนบ้านนอกนั้นมีการเเข่งขันการศึกษาน้อย ทำให้นักเรียนไม่ค่อยมีความเครียดเมื่อเทียบกับโรงเรียนในเมือง ความคาดหวังของผู้ปกครองนั้นก็มีสูงอยุ่บ้างเเต่ไม่ค่อยเยอะ แต่ก็มีประเด็นเรื่องของการสอบโอเน็ทที่รัฐบาลบังคับให้เด็กบ้านนอกจะต้องสอบได้คะเเนนดีๆเท่ากับเด็กในเมือง เรื่องนี้ครูเครียดอยู่พอสมควรครับ  ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่าการศึกษาของโรงเรียนในชนบทนั้นด้อยคุณภาพกว่าในเมือง  แต่ในยุคนี้นั้นนักเรียนสามารถค้นหาความรู้ทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย  แต่ถึงอย่างไรในความเป็นจริงของยุคนี้อีกอย่างหนึ่ง  การเเข่งขันกันเรื่องการศึกษาหมายถึงเกรด4ไม่ค่อยมีผลต่อการดำเนินชีวิตเหมือนในยุคเมื่อ10กว่าปีที่เเล้วที่ต้องเอาเกรดดีๆไปสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัย  และก็ต้องได้เกียรตินิยมแล้วมีหน้ามีตาเอาวุฒิไปสมัครงาน   ทุกวันนี้เราเเข่งขันที่ความสามารถโดยแท้ เกียรตินิยมเอาไปใช้ทำอะไรไม่ค่อยจะได้เเล้วครับ  ทุกวันนี้จะเห็นว่าอายุน้อยร้อยล้านมีเยอะเเยะ  ฉะนั้นคนยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนๆเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมากเด็กๆเขาอาจจะเก่งเเละฉลาดกว่าที่เราคิดเสียอีกครับ

   ข้อดียังมีอีกมากมาย เช่น ประหยัดค่าอาหารหรือค่าเดินทาง ไม่ต้องตื่นเเต่เช้าไปโรงเรียน ไม่ต้องเจอรถติดให้อารมณ์เสีย บางคนเจอรถติดแล้วสมองพังก่อนจะถึงโรงเรียนด้วยซ้ำไปครับ แต่10ข้อนี้ก็พอที่จะมองภาพออกเเล้วนะครับ การส่งลูกไปเรียนหนังสือนั้นถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนเรา  ผู้ปกครองควรเลือตามความเหมาะสมกับฐานะของครอบครัวนะครับ ส่งท้าย ครูปัญญา เรียนจบอนุบาลจนถึงม.6จากบ้านนอก และก้เป็นครูบ้านอกมา10ปีแล้วครับผม สวัสดีครับ

เเนะนำบทความเรื่อง ทำไมต้องเรียนโรงเรียนแพง  ของลงทุนเเมน



ครูปัญญา  กายะชาติ ครูศิลปะ

18 มิถุนายน 2562


ท่านสามารถติดตามครุปัญญาได้ที่






วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ถ้าคุณคิดว่าเด็กไทยโง่กว่าเด็กญี่ปุ่น คุณคิดผิดครับ




   ถ้าคุณคิดว่าเด็กไทยโง่กว่าเด็กญี่ปุ่น คุณคิดผิดครับ

     เราอาจเคยได้ยินมาว่าคนไทยนั้นไม่มีระเบียบวินัย สู้คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้  หรืออะไรทำนองนี้  แต่ก่อนครูเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันและก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  แต่พอค้นหาเหตุผลจริงๆแล้วก็พอจะได้คำตอบอยู่บ้างครับ ก่อนที่จะไปเรื่อง  "ความจริงเเล้วเด็กไทยไม่ได้โง่กว่าเด็กญี่ปุ่น" ครูขอเอาเรื่องประเทศญี่ปุ่นจาก เฟสนี้ นี้มาให้ดูก่อนนะครับ เพื่อเป็นการเกริ่นนำความคิดก่อน






















     เห็นไหมครับว่านอกจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตสำนึกแล้วนั้น ญี่ปุ่นนั้นเขาจัดระเบียบสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อบังคับให้ทุกคนทำตามอย่างดีเยี่ยม

ที่ผ่านมาโรงเรียนครุเองนั้นมีปัญหาขยะล้นถัง และเด็กๆทิ้งเรียราดตามพื้นทั่วไป ทางโรงเรียนก็เลยแก้ปัญหา  โดยสร้างที่ทิ้งขยะและแยกขยะให้ 2 ที่ แต่ขยะนั้นก็ยังไม่ได้ถูกจัดการให้ดีเท่าที่ควร 









ทำมาประมาณ3ปีแต่ไม่สำเร็จ นักเรียนยังคงทิ้งขยะลงในถังเดียวกัน

ครูครุ่นคิดอยู่นานมากจนไปหาข้อมูลว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีวินัยมากว่าคนไทย  และเอาข้อมูลมาประยุกต์ใช้ดู

       ปรากฎว่า  ถังขยะที่โรงเรียนทำให้นั้นอยู่ด้านล่างอาคารเด็กๆไม่สะดวกที่จะเอามาเเยก  เพราะว่าถังขยะที่อยู่ในห้องนั้นมีแค่ใบเดียว นักเรียนทิ้งขยะรวมกันหมด  มีทั้งถุงขนม เศษอาหาร กระดาษ และอื่นๆ พอเวรห้องเอาลงมาทิ้งในถังขยะใบใหญ่ที่จัดให้แยกขยะด้านล่างอาคารนั้น ไม่สะดวกที่จะเเยะเพราะมันปนกันจนไม่น่าเอามือไปจับ  
       ครูก็เลยคิดวิธีที่จะติดตั้งถังขยะในห้องเรียนเพิ่มขึ้นห้องละ3ใบโดยแยกเป็น กระดาษ ขวดพลาสติก  และเศษอาหาร แต่ว่าถังขยะที่แยกกันแบบี้ในท้องตลาดนั้นแพงมาก ครูก็เลยทำถังขยะมาเอง
       โดยเอาตาข่ายพลาสติกที่มีอยู่มามัดให้เป็นวงกลม แจกให้ห้องละ1ใบเอาไว้ใส่ขวดพลาสติกและแก้ว  ผลปรากฎว่าได้ผลครับ























      เด็กๆเขาสามารถที่จะจัดการกับขยะได้เป็นอย่างดีทำให้การเเยกขยะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสะอาดเพิ่มขึ้นร้อยละ80%

    เห็นไหมครับว่าเราต้องจัดสภาพเเวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้  จิตสำนึกหลายๆอย่างนั้นต้องมีเครื่องมือช่วย  ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็คงไม่ต่างกันหรอกครับ


นี่คือหลักฐานว่าเด็กไทยไม่ได้โง่ไปกว่าเด็กญี่ปุ่น
ท่านลองเอาไปทำดูนะครับคงเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนของท่านเองเป็นอย่างมาก

สวัสดีครับ

ครูปัญญา  กายะชาติ  ครุศิลปะ

17 มิถุนายน 2562



ท่านสามารถติดตามได้  เฟสส่วนตัว

                                        เเละ เพจเมื่อฉันเป็นครู